โรครูมาตอยด์ มหันตภัย ที่ไม่ควรมองข้าม
ความร้ายแรงของโรครูมาตอยด์ ไม่ได้อยู่ที่การรักษา แต่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ดังนั้นเรามา "รู้ทัน รูมาตอยด์" กันเถอะ!
ความร้ายแรงของโรครูมาตอยด์ ไม่ได้อยู่ที่การรักษา แต่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ดังนั้นเรามา "รู้ทัน รูมาตอยด์" กันเถอะ!
โดย...อนุสรา ทองอุไร
"แนวโน้ม โรครูมาตอยด์ มีเพิ่มมากขึ้น เพราะคนรู้จักมากขึ้น ขณะอดีตที่ผ่านมาคนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ เพราะส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับข้อหรือกระดูก ซึ่งโรคนี้หากรักษาตั้งแต่เริ่มต้นหรือระยะแรกๆ สามารถรักษาหรือควบคุมได้ 60-85% แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้หลังจากเป็นไปมากแล้ว ทำให้โอกาสหายขาดไม่เกิน 10% โรคนี้ถือว่าเป็นเพชฆาตเงียบที่ทรมานผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง"
คำกล่าวข้างต้นของ พญ.รัตนวดี ณ นคร นายกสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นต่อโรคร้ายรูมาตอยด์ที่คืบคลานเป็นภัยฉกาจต่อชีวิตผู้คนอย่างที่คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรครูมาตอยด์สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ แต่จากการประมาณการของผลสำรวจขั้นพื้นฐานในหัวข้อสำรวจธรรมดาพบว่า ทุกๆ 1,000 คน จะพบผู้เป็นโรครูมาตอยด์ 2-3 คน ตัวเลขเบื้องต้นทั้งประเทศอยู่ที่ 2 แสนคน และโรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา แต่พบมากที่สุดในผู้ป่วยวัยกลางคน ที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 80-90% เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญ อันเป็นปัจจัยต่อความเสี่ยงของการเป็นโรคดังกล่าวมากกว่า ส่วนสาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวกับการติดเชื้อและมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
โรครูมาตอยด์คืออะไร?
โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่นๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น ถึงแม้โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด แต่จะมีกลุ่มโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นๆ อีกมาก ที่คล้ายโรครูมาตอยด์ได้ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เนื่องจากการรักษาจะแตกต่างกันออกไป
อาการของโรค
การอักเสบของโรครูมาตอยด์เริ่มที่เยื่อหุ้มข้อ เป็นได้ทุกข้อที่มีเยื่อหุ้มข้อ พบบ่อยที่สุดที่ข้อมือ นอกจากนั้นคือ ข้อนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ข้อศอก ข้อไหล่ ข้อขากรรไกร ข้อกระดูกสันหลังกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ มักมีการอักเสบพร้อมกันทั้งสองข้าง การอักเสบเป็นไปอย่างช้าๆ ระยะแรกอาจมีข้อติดขัดเวลาตื่นนอน เคลื่อนไหวข้อหลายๆ ครั้งแล้วดีขึ้น ต่อมาข้อจะบวม ปวด เหยียดงอได้ไม่เต็มที่ อาจมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด จำนวนข้อที่มีการอักเสบจะมากขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงขึ้น การติดขัดของข้อในตอนเช้าอาจนานเป็นชั่วโมง
ผู้ป่วยมักมีอาการดีขึ้นบ้างเมื่อได้รับยาแก้อักเสบของข้อหรือยาจำพวกสเตียรอยด์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง หรือไม่ได้รับยาที่สามารถหยุดกลไกการเกิดโรค เยื่อหุ้มข้อที่อักเสบอยู่นานๆ หนาตัวขึ้นและแพร่ไปที่กระดูกอ่อนและกระดูกแข็งทำให้กระดูกถูกทำลาย มีการอักเสบของพังผืดที่หุ้มข้อ และเส้นเอ็นที่ยึดบริเวณข้อ ทำให้มีข้อเคลื่อนข้อหลุด เกิดการผิดรูปของข้อ นั่นคือเกิดความพิการของข้อ ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติเคลื่อนไหวช่วยตัวเองไม่ได้ กล้ามเนื้อลีบและไม่มีแรงเพราะไม่ถูกใช้งาน ความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน โรคสามารถสงบได้เอง แต่จะมีความพิการเหลืออยู่
วิธีการรักษา
1.การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบไตได้ ในรายที่เป็นรุนแรงมีอาการมากและข้อถูกทำลายมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่ายาระดับที่ 2 ซึ่งได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทองคำ ยาเมทโธเทรกเซท ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น
ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการเจ็บปวด แต่จะช่วยระงับการลุกลามของโรคได้ แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจึงควรใช้ในรายที่มีอาการรุนแรงและใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อนึ่ง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาที่มีผู้นำเอามาใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากยานี้มีคุณสมบัติในการระงับการอักเสบของข้อได้ แต่จากการศึกษาในระยะหลังๆ พบว่า ยาชนิดนี้ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงการดำเนินของโรค และในขณะเดียวกันเมื่อใช้ยานี้ไปนานๆ ผู้ป่วยจะติดยาและไม่สามารถเลิกยาได้ พร้อมทั้งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชนิดนี้มากมาย เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อกระจก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกผุ เป็นต้น จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งในการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยยาชนิดอื่นและควรดูแลควบคุมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
2.การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย มีส่วนสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การ พักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่การพักที่นานเกินไปจะทำให้ข้อฝืดขัด ดังนั้นการพักผ่อนจะต้องสมดุลกับการบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัด และช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้
3.การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรเรียนรู้และหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อาจส่งเสริมให้ข้อถูกทำลายเร็วขึ้น เช่น การนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ การรู้จักใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยเดิน จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวคล่องขึ้นและหลีกเลี่ยงแรงที่กระทำต่อข้อได้
4.การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น การผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อจะช่วยให้ข้อทำงานได้ดีขึ้น
ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายหน่วยงานร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ป่วย ด้วยการสร้างชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ เพื่อมุ่งหวังเป็นศูนย์กลางให้กับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และรวมไปถึงแพทย์ที่ดูแลโรคนี้ด้วย เพื่อให้รับทราบว่าผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยต้องดูแลตนเองอย่างไร เพราะโรคนี้อาจไม่ถึงชีวิต แต่สร้างความทรมานอย่างใหญ่หลวง และที่สำคัญการตรวจรักษาของโรคนี้ จำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง
กินอยู่อย่างไรเมื่อมีโรครูมาตอยด์
เลือกกินอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน บทความจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ อเมริกา กล่าวว่า ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์บางคนเป็นโรคขาดอาหาร เนื่องจากไซโตไคน์บางตัวที่ร่างกายผลิตเมื่อมีการอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดอัตราเผาผลาญที่สูงขึ้น เกิดอาการน้ำหนักลดในผู้ป่วย
นอกจากนี้ พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะขาดกรด โฟลิก วิตามินซี ดี บี6 บี12 วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และเซลีเนียม ผู้ป่วยที่อยู่บ้านคนเดียวอาจไม่ไปตลาดบ่อยๆ ประกอบอาหารน้อยลงเนื่องจากข้อติดขัด จึงอาจจะกินอาหารน้อยลงและขาดแร่ธาตุอาหารได้ ดังนั้นจะต้องดูแลผู้ป่วยกรณีนี้เป็นประการแรก กินแคลเซียมและวิตามินดีเพิ่มเติม รับแดดอ่อนยามเช้าสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนในวันหน้า
เลิกกินอาหารที่ก่อให้เกิดอาการ ผู้ป่วยบางคนการกินอาหารบางชนิด เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี เนื้อสัตว์ หรือเนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จ เช่น ไส้กรอก พืชตระกูลมะเขือ (มะเขือเทศ มันฝรั่ง และมะเขือทุกชนิด) ทำให้อาการของโรคกำเริบ ให้ลองหยุดอาหารแต่ละชนิดดังกล่าว 2 สัปดาห์ สังเกตอาการ และกลับมากินอาหารต้องสงสัยนั้นใหม่ ถ้าอาการโรครูมาตอยด์กำเริบก็ให้หยุดอาหารนั้นๆ ไปเลย แล้วหันมากินเนื้อปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 นักวิจัยแนะนำอาหารดังกล่าวต่อผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์ แต่ไม่แนะนำการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีน้ำมันโอเมกา-3 เพราะปริมาณกรดไขมันที่มากเกินจะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยได้
ดื่มน้ำต้มกระชายหรือกระชายดิบ รากกระชาย 5 แง่ง (มีเหง้าด้วยก็ได้) ทุบพอแตกใส่ในกาน้ำ เติมน้ำครึ่งลิตร ตั้งไฟจนน้ำเดือดยกลง ดื่มน้ำต้ม กระชายแทนน้ำดื่มจนหมดกา เติมน้ำใส่กาอีกครึ่งลิตรต้มจนเดือดเช่นเดิม เมื่อน้ำต้มจืดไม่มีรสให้เปลี่ยนรากกระชาย ใช้วันละ 2 ชุดก็พอ แต่งรสได้ด้วยหญ้าหวานหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย หรือกินกระชายดิบขนาดเท่า 2 ข้อนิ้วก้อย วันละ 3 เวลาก่อนอาหารโดยการเคี้ยวกลืน จะไม่เห็นผลในวันแรกอย่าเพิ่งหยุดกิน กระชายมีสารต้านอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ช่วยการไหลเวียนเลือดที่ดี เป็นยาอายุวัฒนะในตำรายาไทยหลายขนานอีกด้วย
กินขมิ้นชัน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำกินสารเคอร์คูมิน 400 มก. วันละ 3 ครั้ง หรือกินขิงสดวันละ 10 กรัม ทุกวันแทน รับการนวดแผนไทยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ออกกำลังกายด้วยไท้เก๊กหรือ โยคะ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง พบว่า การรำไท้เก๊กเป็นวิธีออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นและเพิ่มสมรรถภาพการเคลื่อนไหวที่ดีมาก ได้ประโยชน์ด้านการผ่อนคลายอารมณ์ด้วย ผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์สูงอายุรายงานว่า อาการปวดข้อลดลงหลังการออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊ก ทั้งนี้สารเอนดอร์ฟินที่หลั่งหลังการออกกำลังกายก็ช่วยลดอาการปวดได้เช่นกัน
โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และไขข้อ ท่าโยคะต่างๆ ทำให้ข้อต่อแข็งแรงขึ้นและสามารถถูกใช้งานได้อย่างต่อเนื่องลดอาการข้อติด ช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในร่างกาย ถ้าฝึกโยคะเป็นประจำจะทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดี ซึ่งจะช่วยลดภาระของข้อเข่าในผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์ด้วย
คำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเอง
- ผู้ป่วยต้องเข้าใจลักษณะตัวโรค
- ผู้ป่วยควรทำใจให้สบาย พบว่าความเครียดและการทำงานตรากตรำจะทำให้ควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดีนัก หรือโรคไม่สงบ
- การเกร็งกล้ามเนื้อระยะเวลานานๆ สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อที่มีอาการอักเสบ การเคลื่อนไหวข้อในระดับเหมาะสมจะช่วยลดอาการปวดและอาการอักเสบได้
- อาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่าง แต่ต้องเป็นอาหารที่สะอาด
- หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง ที่อาจทำให้เกิดผลเสียต่อข้อของผู้ป่วย
รู้ข้อมูลและลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องโรคภัยก็ไม่ค่อยมาเยือน ขอให้สุขภาพดีถ้วนหน้าค่ะ


