‘ธนโชติ บุญมีโชติ’ ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงจากแบรนด์ Qfresh

หลังเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจาก University of San Francisco ธนโชติได้ผ่านประสบการณ์การทำงานมาหลากหลายรูปแบบ ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีทั้งความรู้ ความสามารถ และเชี่ยวชาญในเรื่องการทำการตลาด การวางกลยุทธ์องค์กร การบริหารจัดการระบบภายในโรงงานและการจัดจำหน่าย ซึ่งบทบาทการทำงานที่คิวเฟรช (Qfresh) นั้น เขารับผิดชอบดูแลธุรกิจในกลุ่ม Food Service, Traditional Trade และ Modern Trade อีกด้วย 

 

 

“หน้าที่หลักๆ ที่ผมรับผิดชอบในปัจจุบันก็คือ ดูแลแบรนด์คิวเฟรช (Qfresh) ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งที่มีคุณภาพของไทย โดยผมดูแลทั้งในส่วนของตลาดในประเทศ ส่วนของงานขาย ส่วนการตลาด รวมทั้งดูแลในส่วนของโรงงานด้วย แล้วผมยังเป็นกรรมการของบริษัท ไทยยูเนี่ยน ซีฟู้ด จำกัด, บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โอคินอสฟู้ด จำกัด ด้วยครับ

สำหรับธุรกิจแบรนด์ Qfresh ตั้งแต่เริ่มต้นมาปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว เหตุผลที่เราตั้งแบรนด์คิวเฟรชขึ้นมา เพราะเดิมทีคนรู้จักไทยยูเนี่ยนแค่ในนามของแบรนด์ ‘ซีเล็คทูน่า’ แล้วก็ ‘ฟิชโช่’ เท่านั้น ซึ่งยอดขายหลักๆ ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศมากกว่า 90% นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงส่งซีฟู้ดชั้นดีคุณภาพพรีเมียมออกไปยังต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา และยุโรป แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยทราบมากนัก เราจึงคิดสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้คนไทยรู้ว่าซีฟู้ดดีๆ นั้นสามารถหาได้ที่เมืองไทยเช่นกัน นี่จึงเป็นที่มาของแบรนด์ Qfresh ครับ”

 

 

ธนโชติ เผยว่า แนวคิดในการบริหารงานของเขา จะยึดหลักการที่ว่าต้องเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในตัวของบริษัทและตัวของผู้ค้า และแน่นอนว่านโยบายหลายเรื่องของบริษัทโดยรวมก็เน้นในเรื่องความยั่งยืน ทั้งสถานะภายในโรงงาน คอมมูนิตี้รอบๆ ความเป็นอยู่ของพนักงาน รวมไปถึงแหล่งที่จับปลาจับกุ้ง ว่าควรทำอย่างไรมันถึงจะยั่งยืนมากขึ้น แม้แต่การลดการใช้น้ำ ลดการปล่อยก๊าซ รวมถึงตัวแพกเก็จจิ้งทั้งหมดในเครือไทยยูเนี่ยนก็ล้วนแต่ทำให้เป็นวัสดุรีไซเคิล

"ผมมองว่าการดีลกับลูกค้า เราไม่ได้มองแค่กำไรในช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่เราจะมองไปถึงการพัฒนาในเชิงของพาร์ตเนอร์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน เพื่อทำให้ธุรกิจของทั้งเราและเขาเติบโตไปด้วยกัน ที่ผ่านมามูลค่าของธุรกิจแบรนด์ Qfresh ในปีแรก ตลอดทั้งปีเราทำยอดขายอยู่แค่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เนื่องจากเราเป็นบริษัทที่เปิดใหม่ ซึ่งมีเรื่องรายจ่ายและการลงทุนค่อนข้างเยอะ แต่พอมาปีหลังๆ เราก็เพิ่มการพัฒนา ค่อยๆ ทำยอดขายให้ขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้โฟกัสแค่การขายออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่คิวเฟรชเรามีการขาย 2 ช่องทางคือออนไลน์กับออฟไลน์ ซึ่งยอดหลักๆ ที่มาช่วยก็จะเป็นร้านอาหารที่เราพยายามกระจายสินค้าไปภายใต้แบรนด์คิวเฟรช นี่จึงเป็นที่มาของการทำตู้แช่แข็งแจกให้กับทุกร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบภายใต้แบรนด์ Qfresh ของเรา โดยมีเงื่อนไขว่าร้านอาหารเหล่านั้นจะต้องซื้อสินค้าให้ได้ปริมาณที่เรากำหนดไว้ด้วย  

 

 

ยกตัวอย่าง ธุรกิจในกลุ่ม Food Service หรือร้านอาหารที่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีของเรามายาวนานอย่าง ‘เอ็มเคสุกี้’ ซึ่งเขาจะมีโจทย์ว่า ในทุกๆ ปีเอ็มเคสุกี้จะมีช่วงที่ต้องออกสินค้าใหม่ตลอด ทางเรากับเอ็มเคฯ ก็จะมาเวิร์คช็อปร่วมกัน เทสต์สินค้าที่จะออกใหม่ร่วมกัน โดยมีทั้งปรับไซส์และปรับเท็กซ์เจอร์ในเรื่องของวัตถุดิบที่จะออกมาเป็นเมนูใหม่ของเอ็มเคฯ เป็นต้น พูดง่ายๆ คือเราจะช่วยคิดเผื่อ และคิดตามโจทย์ เพื่อให้เกิดโปรดักส์ใหม่ โดยใช้วัตถุดิบในโรงงานของเรา จึงเหมือนเป็นการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ร่วมกัน เรียกว่ามีสองทีมดีกว่ามีทีมเดียว นอกจากเอ็มเคฯ แล้ว ก็จะมีในฝั่งของ Modern Trade หลักๆ อีก 2 รายที่เป็นพาร์ตเนอร์เรา นั่นก็คือ แมคโคร กับโลตัสด้วย”

ธนโชติ เสริมว่า ทุกๆ ปีจะมีการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจไว้เสมอ ในส่วนของแบรนด์ Qfresh ที่เขาดูแลอยู่ ถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นในบริษัทไทยยูเนี่ยนแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นก้าวเล็กๆ เท่านั้น แต่เขาเชื่อว่ามันจะสามารถสร้างอิมแพ็กที่สำคัญในอนาคตได้

 

 

"ตอนนี้มูลค่าธุรกิจ Qfresh ของเราอยู่ในระดับ 200 กว่าล้านบาท ผมมองว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าแบรนด์ Qfresh จะสามารถไปถึงเป้า 500 ล้านบาทที่ตั้งไว้ได้แน่นอน เพราะตอนนี้ถือว่าทำเราให้แบรนด์ Qfreshเกิดแล้ว และทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์มากขึ้น ซึ่งการใช้พรีเซนเตอร์ก็สำคัญ ล่าสุดเป็น พี่มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ที่เราเลือกพี่มอสเพราะเขาทำอาหารเก่ง แล้วก็ตอบโจทย์เรื่องของแฟมิลี่แมนด้วย เรียกว่าตอบโจทย์ในเรื่องทาร์เก็ตกรุ๊ปของลูกค้าที่จะทำให้กว้างขึ้น รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะ Qfresh เป็นโฟรเซ่นฟู้ดที่ใช้สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาเยอะ สามารถอุ่นด้วยไมโครเวฟ หรือฉีกซองแล้วหย่อนลงกระทะได้เลย 

ช่วงหลังๆ มานี้เราทำเมมเบอร์ชิปอีเวนต์ทุกๆ ไตรมาส รอบแรกเป็นลูกค้าและคู่ค้าของเรา ซึ่งถือว่าเป็นลูกค้าจริงๆ ที่ซื้อสินค้ากับเรา ดังนั้น Qfresh เลยจัดกิจกรรม Chef Table สำหรับลูกค้าขึ้นมา โดยปี 2565 นี้จัดไป 4 ครั้งแล้ว ทุกครั้งก็จะมีเชฟชื่อดังที่เราเชิญมา เป็นผู้ครีเอทเมนูสุดอร่อยโดยใช้วัตถุดิบจาก Qfresh ทั้งหมด กิจกรรมนี้ถือเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้า ที่สำคัญเราอยากให้เห็นว่าสินค้าที่เป็นโฟรเซ่นฟู้ดทั้งหมดของ Qfresh นั้น สามารถนำมาทำเมนูอร่อยได้หลากหลายเมนู แถมทำออกมาแล้วยังดูพรีเมียมด้วยครับ อ้อ! ในปีหน้า 2566 เราก็จะมีแคมเปญใหม่ และสินค้าใหม่ออกมาด้วย แต่ต้องขออุบไว้ก่อน ลูกค้าที่สนใจสามารถซื้อ Qfresh ได้ใน 2 ช่องทาง ทั้งออฟไลน์คือซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปอย่าง โลตัส แมคโคร บิ๊กซี ฯลฯ แล้วยังสามารถซื้อผ่านออนไลน์ได้ที่ www.qfreshshop.com หรือ Line : @qfreshshop ด้วยครับ”

 

 

เป็นหนุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ที่ดูแล้วงานรัดตัวขนาดนี้ มีงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ชื่นชอบนอกเวลางานที่ช่วยผ่อนคลายอะไรบ้างหนอ?..."จริงๆ แล้วผมชอบเล่นกีฬา ชอบเตะฟุตบอลมาก แต่ช่วงนี้ไม่ได้เตะบอลมานานแล้ว หลังๆ ถ้ามีเวลาว่าง อย่างมากก็ไปตีแบด หรือตีกอล์ฟ เพราะนัดกันง่าย คนไม่ต้องเยอะมาก เอาความสะดวกเป็นสำคัญครับ ส่วนเรื่องการสะสมรถยนต์ ไม่อยากให้เรียกว่าสะสมเพราะผมเป็นคนที่เลือกซื้อรถมาเพื่อใช้งานเป็นหลักจริงๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องของความชอบแบบพอดีๆ ไม่ได้เยอะจนเกินไป อย่างเมื่อก่อนผมขับรถเอง ก็จะใช้รถ LEXUS มายาวนานถึง 13 ปี ไม่เคยมีปัญหาเลย เพิ่งจะมามีปัญหาก็ตอนปลายปีที่แล้ว และปีนี้ก็เพิ่งมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้า ระบบไฮดรอลิกพวงมาลัย ก็เลยต้องพาไปเข้าอู่ซ่อมรถนานเลยละ 

 

 

ส่วนรถอีกคันที่ผมชอบใช้ก็คือ Porsche 911 (โมเดล  991) คันนี้ซื้อเพราะความชอบเลยครับ ซื้อมาไว้ใช้งานจริงๆ ขับสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง ส่วนใหญ่จะขับในวันที่มีงานข้างนอก แล้ววันนั้นไม่มีคนขับรถให้ซะมากกว่า แต่โดยปกติทุกวันนี้ผมจะมีคนขับรถให้ คือสบายสุดละ นั่งสบาย แถมทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือประชุมออนไลน์ได้ด้วย ที่สำคัญบางทีเราเหนื่อยมาก ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลับใน เพราะมันอันตราย เวลาที่ไปดินเนอร์ก็สามารถดื่มสังสรรค์ กลับดึกๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องด่าน ส่วนรถอีกคันจะเป็นเบนลี่ย์ คันนี้ผมจะใช้เฉพาะตอนนัดเพื่อนๆ ไปเที่ยว เพราะคันนี้ข้างในกว้าง นั่งสบาย เป็นรถ SUV ที่ระบบภายในค่อนข้างดีทีเดียว ก็ถือว่าเป็นรถคันโปรดอีกคันหนึ่งเช่นกัน

 

 

ส่วนกิจกรรมของครอบครัวที่เราต้องทำด้วยกันทุกปีก็คือ การไปท่องเที่ยวแบบ Family Trip ในช่วงที่ยังไม่มีโควิด-19 ทุก ๆ ปีเราจะมีทริปท่องเที่ยวด้วยกันเสมอ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะในหนึ่งปีครอบครัวเราจะมีช่วงเวลาพิเศษต่างๆ ที่เราจะใช้ร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หายาก กว่าจะนัดมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนั้น ปีหนึ่งเราจะจัดปาร์ตี้ทริปครั้งหนึ่ง ไปญี่ปุ่นบ้าง ไปเกาหลีบ้าง หรือไปยุโรปบ้าง แล้วในวันสำคัญต่างๆ ทุกคนก็จะมาอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว แม้ปัจจุบันคุณแม่ผมจะอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก ส่วนผม น้องชาย และคุณพ่อ จะอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ เพราะต้องทำงาน แต่พอมีวันสำคัญทีไร เราก็มักจะมารวมตัวกันได้ทุกครั้ง นี่แหละครับคือความสุขของครอบครัวเรา”