เมืองโอ่ง เมืองอาร์ต ‘ราชบุรี’
เรื่อง/ภาพ : กาญจน์ อายุ
เรื่อง/ภาพ : กาญจน์ อายุ
ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เป็นข้อดีที่จะไปเที่ยวราชบุรี จังหวัดที่คนคิดออกว่าสวนผึ้งหน้าตาเป็นอย่างไร? แต่ไม่ทราบว่าตัวเมืองราชบุรีมีอะไรน่าดู ราชบุรีคราวนี้จึงพาไปทำความรู้จักตั้งแต่จุดกำเนิด ไปจนถึงความฮิปสเตอร์แห่งเมืองอาร์ต
ทำความรู้จักราชบุรี
ทางลัดที่จะรู้จักเมืองนั้นในเวลาอันสั้นคือ พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง อย่างในราชบุรีมี “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” ประกอบด้วยอาคารสำคัญ 2 หลัง
เมื่อเดินเข้าประตูไปอาคารทางซ้ายมือเรียกว่า อาคารกองบัญชาการรัฐบาลมณฑล สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี 2416 สถาปัตยกรรมเป็นแบบก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว ด้านหน้าเป็นมุก ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่นิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 5-6
แต่เดิมสร้างเพื่อเป็นที่พักของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อคราที่ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน โดยในปีเดียวกันรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินมาที่จวนหลังนี้เพื่อพระราชทานพระสุพรรณบัฏและเครื่องยศอย่างพระองค์ ประกอบด้วย เสลี่ยงงา กลด และดาบประดับพลอย
หลังจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์สิ้นชีพิตักษัย จวนของท่านได้กลายเป็นอาคารกองบัญชาการรัฐบาลมณฑล ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ปี 2465 โปรดฯ ให้สร้างศาลาว่าการรัฐบาลมณฑลในบริเวณ
เดียวกัน
จนในสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากมณฑลเทศาภิบาลเป็นการบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเปลี่ยนศาลาว่าการรัฐบาลมณฑลเป็นศาลากลางจังหวัดราชบุรีในเวลาต่อมา ซึ่งก็คืออาคารที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ตรงประตูทางเข้านั่นเอง
ปี 2524 มีการย้ายศาลากลางจังหวัดไปที่แห่งใหม่ อาคารหลังนี้จึงทรุดโทรมลงไป ทางกรมศิลปากรจึงเข้ามาบูรณะซ่อมแซม เปิดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี และอาคารทั้งสองหลังยังได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วเรียบร้อย
“ที่นี่ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เมือง ใครที่ไม่เคยมาราชบุรีจะรู้จักราชบุรีทุกแง่มุมที่นี่ ตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ที่พบความรุ่งเรืองอยู่ที่เมืองโบราณคูบัวในสมัยทวารวดี ต่อเนื่องขึ้นมาในยุคอารยธรรมเขมร สุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดยถูกจัดแสดงใน 12 ห้อง” เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร กล่าว
เจ้าหน้าที่นำเดินชมนิทรรศการในศาลากลางจังหวัดหลังเก่า เริ่มต้นจากห้องแรกว่าด้วยเรื่องดิน หิน แร่ในจังหวัด พบว่า ลักษณะหินที่พบส่วนใหญ่คือ หินปูน เช่น เขางู ที่มีการให้สัมปทานระเบิดหินเพื่อนำหินปูนไปใช้เป็นซีเมนต์ในการก่อสร้าง จนไปพบว่าบริเวณเขางูมีโบราณวัตถุเป็นภาพแกะสลักโบราณสมัยทวารวดีอยู่ภายในถ้ำ จึงมีการยกเลิกสัมปทานและอนุรักษ์บริเวณนั้นไว้
ส่วนดินราชบุรีก็มีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละจังหวัดรู้จักเครื่องปั้นดินเผาของจังหวัด นั่นคือ โอ่งมังกร เนื่องจากมีการพบดินที่มีความละเอียดเหมาะแก่การทำเครื่องปั้นดินเผาเรียกว่า ดินมันปู สีออกแดงเหมือนมันปู เมื่อนำไปเผาจะมีความแกร่ง พอใส่น้ำแล้วเย็นชื่นใจ
เจ้าหน้าที่นำชมกล่าวต่อว่า ราชบุรีเป็นเมืองที่มีอายุตั้งแต่ยุคหินกลาง ประมาณ 1 หมื่น-5,000 ปี จากนั้นในยุคประวัติศาสตร์มีการพบเจดีย์มากกว่า 60 แห่งในเมืองโบราณคูบัว ยุคสมัยทวารวดีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11-15 โดยอิฐที่ใช้ในการสร้างฐานเจดีย์มีลักษณะเป็นอิฐก้อนใหญ่ เผาแบบหยาบ ด้านบนฐานมีรูปปูนปั้นคนแคระแบกตามคติความเชื่อโบราณว่า คนแคระเป็นผู้ค้ำจุนศาสนา
“เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัยทวารวดีที่เมืองโบราณคูบัวทำให้เรารู้ว่า คนในยุคนั้นนิยมรับประทานข้าวเหนียว ทราบได้จากแกลบที่นำมาผสมปั้นอิฐจะเป็นข้าวเมล็ดใหญ่กว่าข้าวเจ้า ซึ่งนั่นก็คือ ข้าวเหนียว กลายเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราได้เรียนรู้จากโบราณสถาน”
ห้องถัดมาจัดแสดงเศียรพระพุทธรูปสมัยทวารวดี มีเอกลักษณ์เฉพาะคือ พระเกศา (ผม) ขมวดเป็นปมใหญ่ พระนลาฏ (หน้าผาก) กว้าง พระขนง (คิ้ว) หนานูนจรดติดกันเป็นรูปปีกกา พระเนตร (ตา) โปนเหลือบต่ำ พระนาสิก (จมูก) ใหญ่ พระโอษฐ์ (ปาก) หนา และพระกรรณ (หู) ยาว ในห้องเดียวกันยังมีพระบรมสารีริกธาตุในผอบทองคำ ที่พบในเจดีย์หมายเลข 1 เมืองโบราณคูบัว
จากนั้นเมื่อวัฒนธรรมทวารวดีเริ่มเสื่อมลงก็ทำให้วัฒนธรรมเขมรเข้มแข็งขึ้น นำไปสู่ห้องราชบุรีในวัฒนธรรมเขมร ยุคสมัยนี้มีการย้ายเมืองจากเมืองโบราณคูบัวไปสร้างเมืองใหม่ที่วัดมหาธาตุ ชื่อเมือง ชยราชบุรี ต่อมาถูกพัฒนาเป็นเมืองราชบุรีในปัจจุบัน
ภายในห้องนิทรรศการมีโบราณวัตถุสำคัญคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี พบที่จอมปราสาทเมืองโบราณโกสินารายณ์ และเป็น 1 ใน 5 องค์ที่พบในดินแดนไทย
ระหว่างเดินจากห้องหนึ่งสู่อีกห้อง เจ้าหน้าที่อธิบายต่อเนื่องว่า ราชบุรีมี 8 กลุ่มชาติพันธุ์ เริ่มตั้งแต่ชาวไทยจีนอาศัยอยู่แถบดำเนินสะดวก ไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง ไทยพื้นถิ่น ไทยมอญทางแถบโพธาราม ไทยวนที่มีความชำนาญในการทอผ้าตีนจกอาศัยอยู่แถบคูบัว ไทยกะเหรี่ยงอยู่ทางแถบสวนผึ้ง ไทยลาวเวียงหรือลาวตี้ และไทยเขมรลาวเดิม จึงกล่าวได้ว่าราชบุรีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม
จากนั้นในห้องเกือบสุดท้ายได้จัดแสดงเรื่องโอ่งมังกร กำเนิดโอ่งมังกรเริ่มมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่กรุงเทพฯ และสร้างโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาขึ้น คนหนึ่งชื่อ ซ่งฮง แซ่เตีย และอีกคนชื่อ จือเหม็ง แซ่อึ้ง ทั้งสองคนมาพักผ่อนที่ราชบุรีแล้วได้พบกับดินสีแดงกลางทุ่งนา เมื่อสัมผัสดูก็คิดว่าดินชนิดนี้น่าจะไปทำเครื่องปั้นดินเผาได้จึงนำกลับไปลองทำเครื่องปั้นดินเผาที่กรุงเทพฯ พบว่าได้ผลดี จึงกลับมาสร้างโรงงานที่ราชบุรี
ตอนแรกทำเป็นไห จากนั้นได้พัฒนาเป็นโอ่ง โดยเริ่มแรกเป็นโอ่งที่ไม่มีลวดลาย ต่อมาได้แกะสลักลวดลายลงไม้แล้วกดประทับบนโอ่ง ทว่าก็ยุ่งยากและใช้เวลานานเกินไปจึงเปลี่ยนเป็นใช้ดินขาววาดเป็นลวดลาย ซึ่งสำหรับชาวจีนคงไม่มีลายไหนถนัดไปกว่าลวดลายมังกร ทำให้โอ่งมังกรเถ้าฮงไถ่กลายเป็นสัญลักษณ์เมืองราชบุรี
จากรุ่นที่ 1 ตอนนี้โอ่งมังกรราชบุรีถูกสืบทอดถึงรุ่นที่ 3 คือ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ผู้ได้พัฒนารูปแบบไปเป็นเซรามิก เบญจรงค์ และเครื่องตกแต่งสวน อย่างที่เห็นด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์กับรูปปั้นหมาไอ้จุด และงานปั้นเซรามิกด้านข้างอาคารกองบัญชาการรัฐบาลมณฑล
นอกจากนี้ ซอยข้างๆ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่หน้าซอยระบุชื่อ “ถนนสฤษดิ์เดช” มีสตรีทอาร์ตให้แชะภาพตามประสาฮิปสเตอร์ เป็นผลงานของกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ชาวราชบุรี ส่วนงานของศิลปินรุ่นพี่อย่าง โลเล มีตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง (เดินจากถนนสฤษดิ์เดชไปได้) เป็นงานปั้นขนาดใหญ่สีขาวสะท้อนตาชื่อผลงานว่า เด็กดิน เป็นรูปปั้นเด็กผู้ชายกำลังนั่งชันเข่ามองแม่กลองอยู่เดียวดาย
หลังจากเช็กอินที่จุดศิลปะสมัยใหม่ จุดหมายต่อไปต้องลองย้อนอดีตสู่เมืองโบราณคูบัว ชื่อเมืองที่ได้ยินมาตั้งแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันยังมีวิถีชีวิตของชาวไทยวนและยังรักษาภูมิปัญญาโบราณไว้ โดยเฉพาะการทอผ้าตีนจก ที่ได้เห็นความประณีตของลายผ้าไปแล้วจากในพิพิธภัณฑ์
ตีนจกคูบัวเมืองโบราณคูบัวถือเป็นเมืองราชบุรีเก่า ก่อนเมืองถูกย้ายมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันซึ่งห่างออกไปประมาณ 7 กม. ทำให้เมืองคูบัวเวลานี้กลายเป็นเมืองเก่าและร่ำรวยเสน่ห์ความโบราณ ทั้งยังเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยวนที่ยังรักษาขนบวัฒนธรรมเดิม
หนึ่งในวัฒนธรรมที่ถือเป็นงานศิลปะล้ำค่าคือ ลายผ้าซิ่นตีนจก ซึ่งเป็นเทคนิคการทอที่ชาวไทยยวนชำนาญ บ้านที่ได้รับรางวัลดีเด่นทางวัฒนธรรมคือ บ้านของคุณยาย ทองอยู่ กำลังหาญ ผู้สืบทอดมรดกการทอผ้าตีนจกแบบโบราณมาจากแม่
คุณยายทองอยู่เล่าว่า แม่ของเธอ ซ้อน กำลังหาญ ได้เรียนรู้การทอผ้าตีนจกจากคุณยายตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่เมื่อมีครอบครัวจึงเว้นว่างไปจนผ้าตีนจกหายไป กระทั่งปี 2518 แม่ซ้อนได้ใส่ผ้าซิ่นตีนจกไป
รับเสด็จ ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่า
“ตอนนี้ยังทำได้อีกหรือเปล่า ถ้าทำได้ให้ทำต่อไปเรื่อยๆ” จากนั้นแม่ซ้อนก็ได้กลับมาทอผ้าที่บ้านและถ่ายทอดให้ลูกสาว ซึ่งก็คือผู้หญิงวัย 88 ปีที่กำลังเล่าอยู่นี่เอง
มากไปกว่านั้นคุณยายทองอยู่ยังเป็นผู้คิดลวดลายใหม่ๆ และปรับปรุงสีสันขึ้นเอง และปรับใต้ถุนบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่มาเรียนรู้เรื่องการทอผ้าตีนจก เป็นแหล่งรวมตัวของแม่บ้านใกล้เคียงมารวมตัวกันทอผ้าตามออร์เดอร์ และเป็นจุดจำหน่ายผ้าทอมือราคาหลักร้อยไปจนถึงซิ่นตีนจกหลักหลายหมื่นบาท
เมืองโบราณคูบัวจึงเป็นแหล่งศิลปะอีกรูปแบบที่พ่วงเนื้อหาของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้าไป
ราชบุรีคราวนี้ยังไม่เห็นแกะสักตัว เห็นก็แต่แก๊งไอ้จุดที่เรียกแขกให้เดินเข้าไปรู้จักเมืองราชบุรีตั้งแต่จุดกำเนิด ซึ่งเชื่อว่า การท่องเที่ยวที่เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑ์เมืองจะทำให้เห็นและทราบทุกเรื่อง และคราวนี้ไม่ว่าจะไปเมืองโบราณคูบัวหรือเมืองท่องเที่ยวอย่างสวนผึ้ง ก็จะสนุก ลึกซึ้ง และเปลี่ยนมุมมองเดิมๆ ที่เคยเห็นแค่ด้านเดียว 


