ทุนในหลวง สู่การสร้างคน
การให้การศึกษาถือว่าเป็นการให้สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นการหล่อหลอมวางรูปแบบให้แก่อนุชน ทั้งทางความรู้ความสามารถ ทั้งทางจิตวิญญาณ
โดย...ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
"...การให้การศึกษาถือว่าเป็นการให้สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นการหล่อหลอมวางรูปแบบให้แก่อนุชน ทั้งทางความรู้ความสามารถ ทั้งทางจิตวิญญาณ ผู้มีหน้าที่ให้การศึกษาทุกตำแหน่งหน้าที่ จึงมีความรับผิดชอบอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมือง ในการสร้างพลเมืองที่ดี..."
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๐)
เงินของในหลวง หรือพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ส่วนหนึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเป็นทุนการศึกษา มีหลายทุน แตกต่างกันไปตามแต่ละ เป้าหมายของทุน แต่วัตถุประสงค์หลักของทุนพระราชทาน นั่นคือ พระราชประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมการศึกษา เพราะการมีความรู้ของพลเมือง นำไปสู่พัฒนาตัวเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
การได้รับทุนพระราชทานนี้ สร้างความภาคภูมิใจและซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ของผู้รับ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สนับสนุนให้ไปศึกษาเล่าเรียน อาจเรียกแบบภาษา ชาวบ้านว่า "ในหลวงส่งเรียน"
และอีกสิ่งหนึ่งที่ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ ก็คือการเป็น "นักเรียนทุนคิง" หรือนักเรียนที่ได้รับทุนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค่ะ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตเลยก็ได้
"ทุนอานันท์" เพื่อส่งเสริมการศึกษาเฉพาะทาง
ทุนอานันทมหิดล ตั้งขึ้นเมื่อปี 2498 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่ใฝ่ใจการศึกษา มีโอกาสไปศึกษาวิชาการชั้นสูงบางวิชา ณ ต่างประเทศ โดยทรงหวังในพระราชหฤทัยว่า เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาแล้วจะได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาการที่ศึกษามา
ต่อมาในปี 2502 มีพระบรมราชวินิจฉัยให้เปลี่ยนสภาพจาก "ทุน" เป็น "มูลนิธิอานันทมหิดล" โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรก จำนวน 2 หมื่นบาท
โดยทุนพระราชทานนี้ ไม่กำหนดวงเงินของทุน ให้เรียนเต็มที่ พร้อมค่าหนังสือ รวมทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย ดำรงชีวิต ไม่มีสัญญาผูกมัดใดๆ ไม่ต้องใช้ทุน ไม่กำหนดระยะเวลา ไม่กำหนดว่าต้องกลับประเทศ ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ผู้รับทุนมีความสำนึกรับผิดชอบด้วย ตัวเอง
ปัจจุบัน สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานมูลนิธิอานันทมหิดล ทรงร่วมพิจารณาการพระราชทานทุนสนับสนุนการศึกษาในแผนกวิชาต่างๆ ซึ่งมีแบ่งเป็น 8 แผนก คือ แผนกแพทยศาสตร์ แผนกวิทยาศาสตร์ แผนกเกษตรศาสตร์ แผนกธรรมศาสตร์ (ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คัดเลือก) แผนกอักษรศาสตร์ แผนกทันตแพทยศาสตร์ แผนกสัตวแพทยศาสตร์ แผนกวิศวกรรม ศาสตร์ แต่ละปีจะมี 8 คนที่ได้รับทุน แต่หากปีนั้นแผนกใดไม่มีผู้มีคุณสมบัติ เหมาะสมก็ละเว้นได้
ทำอย่างไรจึงได้ทุนอานันทมหิดล
คุณสมบัติของผู้ที่ได้รับทุนอานันทมหิดล ระบุอย่างง่ายเพียง "เป็นคนดี คนเก่ง" โดยการเป็นคนเก่ง มีเกณฑ์วัดชัดเจน เช่น ต้องจบการศึกษาเกรดเฉลี่ย 3.5 ขึ้นไป ไม่มีอุปสรรคด้านภาษา แต่คุณสมบัติด้านคุณธรรม อาจต้องใช้วิจารณญาณและการติดตามดูจากอาจารย์ผู้ใกล้ชิด ทั้งความขยันหมั่นเพียร ความประพฤติดี
ผู้ได้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดล มาจากการสรรหาและคัดเลือกจากอาจารย์ และคณะกรรมการแผนกวิชา ที่จะเสาะหาผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งความสามารถทางวิชาการและมีคุณธรรม ไม่ได้มีการเปิดรับสมัครชิงทุนเหมือนกับทุนการศึกษาประเภทอื่น
62 ปีที่จัดตั้งทุนอานันทมหิดลขึ้นมา มีบัณฑิตจบการศึกษาแล้วทั้งสิ้น 360 คน และอยู่ระหว่างการศึกษา 51 คน ซึ่งบัณฑิตที่จบการศึกษาเกือบทุกราย ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และกลับมาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
นักเรียนทุนอานันทมหิดล ตัวอย่างที่กลับมาทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ด้านการแพทย์ อาทิ นพ.จรัส สุวรรณเวลา แพทย์ท่านแรกที่ได้รับพระราชทานทุน อานันทมหิดล นพ.ประเวศ วะสี นักเรียนทุนปี 2500 นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี นักเรียนทุนปี 2517 สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นักเรียนทุนปี 2525
ส่วนนักเรียนทุนด้านเศรษฐกิจ อาทิ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน
จากหัวใจของนักเรียนทุนอานันท์
นพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ ผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล แผนกแพทยศาสตร์ ปี 2527 ไปศึกษาต่อด้านศัลยกรรมตกแต่ง กลับมาเป็นผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมตกแต่ง ในด้านการแก้ไขความพิการบนใบหน้าชนิดรุนแรง ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนกระทั่งเกษียณ และเกษียณมา 8 ปีแล้ว ก็ยังไปทำอยู่โดยไม่รับค่าตอบแทน
นพ.จรัญ เล่าว่า ตอนเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านถามว่าไปเรียนอะไร ก็ได้ทูลเล่าว่า เป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง ตั้งใจไปเรียนแก้ไขความพิการชนิดรุนแรง สมัยนั้นประเทศไทยยังทำไม่ได้ เด็กที่ส่งเข้ามารักษา กุมารแพทย์ต้องส่งกลับ เพราะรักษาไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ โลกเองก็เพิ่งประสบความสำเร็จในการผ่าตัดผู้พิการใบหน้าชนิดรุนแรงก่อนหน้าเพียง 10 กว่าปี จึงตั้งใจไปเรียนคนแรกและกลับมาสอน
พระองค์ท่านตรัสว่า คณะกรรมการอยากจะให้เซ็นสัญญาเพื่อให้กลับมาใช้ทุน แต่พระองค์ย้ำว่าไม่มีการเซ็นสัญญา กลับมาเป็นอาจารย์ รับราชการดีที่สุด กลับมาเอกชนก็ได้ ถือว่าช่วยคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าไม่กลับมาเลยก็ถือว่ามีวิชาชีพเลี้ยงตน
"ท่านตรัสแบบนี้ ณ วินาทีนั้น เราตั้งใจกลับเมืองไทยแน่นอน และรับราชการจนกระทั่งเกษียณ โดยตัวเองได้ทุนปี 2527 และกลับมาปี 2529 กลับมาทำงานที่ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตน์ แก้ไขความพิการบนใบหน้า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนเกษียณ"
หากถามว่า 62 ปีที่ผ่านมา ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ได้ส่งนิสิตนักศึกษาไปเรียนต่อคิดเป็นมูลค่าเท่าใด คงคิดเป็นเงินหลายล้านบาท ความคุ้มค่าเป็นตัวเงินคงยาก แต่ประเมินผลลัพธ์ที่ได้กลับมามีคุณค่ามหาศาล จากความรู้ความสามารถจากนักเรียนทุนแต่ละแผนกที่สำเร็จการศึกษา นำมาปรับใช้และพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าจนทุกวันนี้ และทุนมูลนิธิอานันทมหิดลนี้จะสานต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงทุนอานันท์เท่านั้น ยังมีทุนพระราชทานอีกหลายทุน ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ที่พระองค์ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่จะส่งเสียให้ลูกหลานคนไทยได้รับการศึกษา
แม้ว่าปัจจุบันมีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้ทุนการศึกษาจำนวนมาก แต่สำหรับนักศึกษาแล้วการได้รับ "ทุนพระราชทาน" นั้น ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดในชีวิต และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้


