ตลาดนัดธรรมชาติ
ตลาดนัดธรรมชาติ “ยักษ์กะโจนสัญจร” เกิดขึ้นจากโครงการธรรมธุรกิจ ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร
โดย...ภาดนุ
ตลาดนัดธรรมชาติ “ยักษ์กะโจนสัญจร” เกิดขึ้นจากโครงการธรรมธุรกิจ ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ อาจารย์ยักษ์ (ประธานธรรมธุรกิจ) และ โจน จันใด (รองประธานธรรมธุรกิจ) เพื่อสืบสานศาสตร์พระราชาสู่ความพอเพียง ซึ่ง พิเชษฐ โตนิติวงศ์ ผู้จัดการโครงการธรรมธุรกิจ จะมาเป็นตัวแทนเพื่อพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟัง
“โครงการธรรมธุรกิจนี้ อาจารย์ยักษ์ และอาจารย์โจน ได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน โดยเกิดจากพื้นฐานแนวคิดในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ปลูก ผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งยึดหลักการดำเนินชีวิตตามศาสตร์พระราชา และบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ที่เริ่มจากการปลูกเพื่อพออยู่พอกินในครอบครัว เมื่อมีมากก็รู้จักแบ่งปันและทำบุญ ขยันเรียนรู้การเก็บถนอมรักษาผลผลิตเพิ่มเติม แล้วจึงเริ่มนำมาขยายผลด้วยการค้าขายที่ยั่งยืนต่อไป โดยนำมาจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรม
ตลาดนัดธรรมชาติ “ยักษ์กะโจนสัญจร” แม้จะเป็นเพียงตลาดนัดเล็กๆ ที่มีร้านค้าอยู่ประมาณ 10 กว่าร้าน แต่ก็มีผู้คนแวะเวียนมาซื้อของกันอย่างไม่ขาดสาย เพราะสินค้ามีตั้งแต่ข้าวกล้องเหนียวที่ปลูกด้วยวิถีธรรมชาติ พืชผักสวนครัวปลอดสารพิษ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ เช่น สบู่สมุนไพร แชมพู ครีมทาหน้า น้ำยาทำความสะอาดในครัวเรือน รวมถึงของกินเล่นต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบทางธรรมชาติโดยไม่พึ่งสารเคมี”
พิเชษฐบอกว่า ผู้ที่นำสินค้าเกษตรมาขาย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาวนาธรรมชาติ ชาวไร่ และกสิกรอินดี้ (คนเมืองที่หันเหชีวิตเข้าสู่อาชีพเกษตรกร) ซึ่งล้วนแต่เคยผ่านการอบรมเป็นลูกศิษย์ยักษ์กะโจน ทั้งคอร์สระยะสั้นและคอร์สระยะยาวที่ศูนย์ฝึกอบรม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มาเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 18 รุ่น (พันกว่าคน) ซึ่งกำลังร่วมก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจพอเพียงในขั้นก้าวหน้า หลังจากที่ได้สร้างขั้นพื้นฐานกันมาแล้วในช่วง 3 ปีแรก
“ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ โครงการธรรมธุรกิจจะเป็นตัวกลางรวบรวมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรเพื่อนำมาขายในตลาดนัดธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้เราได้ตั้งเป็นองค์กรในรูปแบบบริษัทขึ้นมา และได้ไปซื้อที่ดินที่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ จากนั้นจึงพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์ฝึกอบรม (ภูมิภาค) ล่าสุดได้อบรมผู้ที่สนใจออกมา 3 รุ่นแล้ว โดยใช้ศูนย์ฝึกอบรมที่เชียงใหม่ให้ความรู้”
จากนั้นผู้ที่มาอบรมจึงนำความรู้ไปสร้างผลผลิตออกมา ทางศูนย์ก็จะเป็นตัวกลางรวบรวมผลผลิตไปขายให้อีกที พิเชษฐขยายความว่า หรือถ้าเกษตรกรคนไหนมีที่ดินเป็นของตัวเองและสามารถรวมตัวกันได้อย่าง “กลุ่มกสิกรอินดี้” ที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งพวกเขารวมตัวกันเพื่อปลูกผักพื้นบ้านและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อ เช่น ผักแขยง (ผักพื้นถิ่น) บวบ ฟักเขียว เมื่อเหลือจากกินและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว พวกเขาก็จะส่งขึ้นรถไฟมาจำหน่ายที่กรุงเทพฯ ส่วนผลผลิตที่เชียงใหม่ก็จะขนส่งมาทางรถยนต์ เป็นต้น
เมื่อรวบรวมผลผลิตทั้งหมดมาได้แล้ว โครงการธรรมธุรกิจก็จะนำมาขายที่ตลาดนัดธรรมชาติฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ของทุกๆ เดือน โดยจะมีการสลับสถานที่จัดงานไปเรื่อยๆ ดังนี้คือ สัปดาห์ที่ 1 จัดที่ “จิตรโภชนา พาร์ค” ดอนเมือง สัปดาห์ที่ 2 จัดที่ “พิคคาเดลี่ อ่อนนุช” สัปดาห์ที่ 3 จัดที่ “ธรรมสถาน วัดพระราม 9” และสัปดาห์ที่ 4 จัดที่ “พิคคาเดลี่ อ่อนนุช” อีกที เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคที่มีใจรักสุขภาพ ที่ต้องการสินค้าปลอดสารพิษ มีความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม และต้องการที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในเรื่องศาสตร์พระราชา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ได้มาพบปะกัน โดยตลาดจะเปิดตั้งแต่ 10.00-18.00 น.
“ที่ผ่านมาตลาดนัดธรรมชาติฯ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย ทั้งคนในพื้นที่ใกล้เคียงและคนทั่วไปที่ได้รับข่าวสารจากโลกโซเชียล ที่ตลาดนัดธรรมชาติฯ นอกจากมีสินค้าธรรมชาติมาจำหน่ายแล้ว บางครั้งยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การเสวนาเกี่ยวกับศาสตร์พระราชา การโชว์ทำอาหารเมนูอร่อยจากวัตถุดิบธรรมชาติ การแสดงดนตรีจากศิลปิน และอื่นๆ ด้วย”
พิเชษฐทิ้งท้ายว่า ล่าสุดโครงการธรรมธุรกิจได้เปิดบริการส่งข้าวกล้องเหนียวเดลิเวอรี่แบบส่งตรงถึงบ้านขึ้นมา โดยลูกค้าจะต้องสั่งข้าวตั้งแต่ 1 ถุง (หรือ 5 กก.) ขึ้นไป ทางโครงการก็จะนำข้าวไปส่งให้ถึงบ้าน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งข้าวกล้องเหนียวนี้สามารถนำไปหุงรับประทานแบบข้าวหอมมะลิได้เลย รับรองว่าหุงเสร็จแล้วนุ่ม หอม อร่อยถูกใจแน่นอน
ผู้ที่สนใจจะซื้อสินค้าเกษตรหรือติดตามวันเวลาในการเปิดตลาดนัดธรรมชาติฯ อัพเดทได้ที่แฟนเพจ FB : Thamturakit หรือ www.Thamturakit.co.th


