พญ.ขวัญจิรา วงศ์เกียรติขจร ทุกร่องรอยคือความหมาย
เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก drkuanjira พญ. ขวัญจิรา วงศ์เกียรติขจร หรือที่เรียกขานกันว่าเพจหมออุ๋ม แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง วัย 36 ปี
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์
เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก drkuanjira พญ. ขวัญจิรา วงศ์เกียรติขจร หรือที่เรียกขานกันว่าเพจหมออุ๋ม แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง วัย 36 ปี ที่แฟนเพจคนรักผิวพร้อมใจยกให้เป็นหนึ่งเรื่องการตอบคำถามเรื่องผิวพรรณ ทุกสิ่งคือการไม่มองข้าม แม้ในชีวิตจริงของคุณหมอที่รายละเอียดในทุกร่องรอยคุณหมอเก็บหมด ไม่ใช่เพื่ออะไรแต่เพื่อการเรียนรู้และประยุกต์ต่อยอดการรักษา นี่เองเคล็ด(ไม่)ลับที่ทำให้เพจของคุณหมอลิ่วๆ ด้วยยอดกดแสดงความพึงพอใจ ปัจจุบันคุณหมอคนสวยเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่โรงพยาบาลเลิดสินและดูแลคนไข้อยู่ที่เทียร่าคลินิก สุขุมวิท 55 ไปคุยกับคุณหมอกันเลยดีกว่า
“เพจหมออุ๋ม เกิดขึ้นจากที่เจอคนไข้ทุกวัน ตอบคำถามทุกวัน เลยคิดทำเพจขึ้นมาเพื่อเราจะได้ตอบคำถามให้คนอ่านได้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง ในเพจจะมีเกร็ดความรู้เรื่องผิวหนัง ซึ่งหมออุ๋มเชื่อว่าถ้าเรามีโอกาสบอกเล่าให้คนอ่านฟังมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอีกเยอะแยะ นอกจากนี้เวลาเปิดเฟซบุ๊กขึ้นมา จะมีสารพัดทริกที่มีคนเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ การดูแลผิวหนังจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง พอทำเพจหมออุ๋มขึ้นมาคิดว่า อย่างน้อยก็ช่วยเป็นเบสหรือหนึ่งในบรรทัดฐานที่จะได้ช่วยกันผลักดันข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง” หมออุ๋มเล่า
นอกจากนี้ เพจยังช่วยกระตุ้นคุณหมอ อัพเดทความรู้ใหม่ๆ ได้รู้เทรนด์และกระแสความสนใจของผู้คน ได้ประโยชน์ทั้งลูกเพจและแม่เพจ (ฮา) ความสนใจของคุณหมอไม่อยู่เฉพาะเรื่องผิวหนังและการดูแลคนไข้เท่านั้น แต่ยังมีความสนใจในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อันที่จริงคุณหมออยากเรียนโบราณคดี อดีตคือประโยชน์ที่สอนเรา คือบทเรียนของมนุษยชาติ ก่อนหมออุ๋มจะตัดสินใจสอบเข้าและเรียนคณะแพทย์จึงไม่ง่ายเลย ครอบครัวเป็นครอบครัวแพทย์ เกือบทุกคนประกอบวิชาชีพแพทย์ ไล่เรียงมาตั้งแต่คุณปู่ คุณตา คุณทวดซึ่งเป็นแพทย์เหมือนกันหมด คุณพ่อเป็นแพทย์ทหาร ส่วนคุณแม่เป็นเภสัชกร รวมทั้งในปัจจุบันพี่น้องหมออุ๋มทั้งหมดรวม 5 คนเรียนแพทย์ทุกคน
ประวัติศาสตร์ช่วยไม่ให้มนุษย์เดินพลาดอีก ความสนใจคือความชอบในเรื่องราวความเป็นมา แต่ที่สุดตัดสินใจเลือกเรียนแพทย์ อาจเพราะส่วนหนึ่งได้รับซึมซับมาจากบิดา ในวัยเด็กได้เห็นคุณพ่อเปิดคลินิกผู้ยากไร้ รับรักษาผู้คนในถิ่นชนบทที่ขาดแคลนทางภาคเหนือ คนไข้มากหน้าหลายตาจ่ายค่ารักษาเป็นถุงผลไม้เล็กๆ น้อยๆ หรือบางคนก็ไม่จ่ายเลยเพราะไม่มี หลายคนเป็นคนทำมาหากิน เช่น สามล้อถีบ เวลาไม่สบายมาหาหมอฉีดยาแล้ว หมอผู้รักษาคือคุณพ่อยังต้องจ่ายเงินให้คนไข้แถมไปอีก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คุณพ่อเคยบอกว่า หมอไม่คิดเงินค่ายาก็ดีอยู่ แต่คนไข้บางคนไม่เพียงไม่มีเงินจะควักจ่ายค่ายาเท่านั้น แต่ไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อข้าวซื้ออาหารมากินด้วย เราให้เขาฉีดยากินยาอย่างเดียวโรคไม่หาย ต้องให้เขากินข้าวด้วย
นอกจากนี้ คุณพ่อของหมออุ๋มยังมีชื่อเรื่องฉีดยาไม่เจ็บ ถือเป็นความประทับใจวัยเด็ก ที่คุณพ่อเป็นคุณหมอยอดนิยมของเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน เวลาพ่อมาฉีดยาให้เด็กๆ ในโรงเรียน ทุกคนจะเลือกไปต่อแถวที่คุณพ่อเป็นคนฉีด เพื่อนของเรามาต่อแถวของพ่อหมด เป็นอะไรที่น่าขันมากเมื่อนึกภาพย้อนไป คุณหมออุ๋มเกิดที่เชียงใหม่ เพราะขณะนั้นคุณพ่อประจำการอยู่ที่เชียงใหม่ (พล.ต.นพ.สุมิตร วงศ์เกียรติขจร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่) เติบโตและเรียนหนังสือจนถึงชั้นประถมปีที่ 6 ต่อมาคุณพ่อถูกย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ จึงย้ายตามมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตัดสินใจว่าอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสได้ทำหัตถการหรือฉีดยาไม่เจ็บได้เหมือนพ่อ(ฮา)
“อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ได้มีโอกาสทำบุญทุกวัน ได้ช่วยเหลือผู้คน มองว่าเป็นโอกาสค่ะ”
อย่างไรก็ตาม เธอมิได้เลือกเป็นศัลยแพทย์อย่างบิดา แต่มองไปที่การผ่าตัดเล็ก ซึ่งเป็นโอกาสที่เป็นไปได้และอยากทำสำหรับเธอ ช่วงเป็นแพทย์ฝึกหัดได้มีโอกาสพบเจอผู้ป่วยที่มีผื่นที่หลัง ขั้นตอนแรกแพทย์แผนกอายุรกรรมดูก่อนแล้วไม่พบว่าเป็นอะไร ได้ส่งตัวต่อมาแผนกผิวหนัง รู้สึกประทับใจอาจารย์แพทย์แผนกผิวหนังท่านหนึ่งที่มอง “ปร๊าด” เดียวก็ทราบต้นตอสาเหตุ อาจารย์ถามผู้ป่วยว่า มีอาชีพทำนาใช่หรือไม่คำตอบคือใช่ โดยอาจารย์มองขาดตั้งแต่แรกว่าคนไข้มีอาการผื่นแพ้แสงแดดจึงสอบถามอาชีพ เพราะชาวนามักก้มหลังทำนา หลังที่สัมผัสแดดนั่นเองคือต้นเหตุของผื่นคัน อาจารย์ท่านนั้นยังมหัศจรรย์ต่อไป โดยเมื่อพบคนไข้ที่มีผื่นแพ้ที่เข่า อาจารย์ก็มองปร๊าดเดียวอีก ถามคุณป้าผู้ป่วยว่า ได้ใช้ยานวดเข่ามั้ย ให้คุณป้าทำท่านวดเข่าให้ดู คุณป้าใช้ยาชโลมเข่าและนวด ปรากฏว่าคุณป้าเป็นผื่นแพ้ยานวด ที่คันเฉพาะเข่าก็เพราะแพ้ยานวดเข่า (Salicylate) แพ้ตัวยาตัวหนึ่งในยานวด ตกลงตัดสินใจเลือกเรียนเฉพาะทางผิวหนังก็เพราะอาจารย์แพทย์ท่านนี้
จะว่าไปหมออุ๋มเองก็มีกรรมเก่าในเรื่องของผิว เพราะมีปัญหาเรื่องผิวหนังที่เป็นภูมิแพ้ มือลอกและแดง เจ้าตัวเล่าอาการว่าถึงขั้นสังคมรังเกียจ เพื่อนๆ ไม่คบ(ฮา) เพราะในระยะที่ลุกลามบางครั้งจะเห่อและแดง ลอกเป็นแถบๆ ไปทั้งมือ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จำความ มาทุเลาและหายขาดจากอาการได้ก็เมื่อมาเรียนแพทย์เฉพาะผิวหนังนี่เอง วิธีแก้ไม่ยาก ภูมิแพ้ที่มือจนผิวหนังลอกนี้ แก้ด้วยการทาครีมบำรุงบ่อยๆ สำหรับสังคมไทยที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เห่อผิวขาว คุณหมออุ๋มบอกว่าเป็นเรื่องของทัศนคติ สิ่งที่สำคัญกว่าคือสุขภาพ โดยผิวหนังมนุษย์นั้นก็เหมือนหน้าต่างของร่างกายที่สะท้อนถึงสุขภาพภายใน ผิวไม่ดีหมายถึงสุขภาพไม่ดี เรื่องขาวไม่ขาวไม่ใช่เรื่อง
“จะดีกว่าหรือไม่หากทุกคนสวยในแบบที่เขาเป็นเขา สวยในแบบของตัวเอง ไม่ต้องเปลี่ยนสีผิว หรือไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนอื่นสีอื่น คนผิวคล้ำก็สวยแบบผิวคล้ำได้ และสวยได้หมดทุกสีผิว สำคัญคือความมีสุขภาพของผิว การคลั่งผิวขาวเป็นพฤติกรรมที่ผิดหรืออย่างน้อยก็บิดเบือนในทางหนึ่ง” หมออุ๋มเล่า
คนไข้คนหนึ่งใส่มาสก์หรือหน้ากากมาพบที่คลินิก ปรากฏว่าถอดหน้ากากออกแล้ว เป็นสิวแบบหน้าปุ โดยทุกรูขุมขนบนใบหน้าเป็นสิวและระเบิดใส่กัน (Sinus Tract) คุณหมอดูแลรักษาตามอาการ ได้แก่การลดภาวะการอักเสบให้เร็วที่สุด และให้ทิ้งรอยแผลเป็นหรือสติกมาตา(Stigmata) ให้น้อยที่สุด เคลียร์สิวทุกเม็ดบนใบหน้า เอาสิวเก่าออก ขณะเดียวกันก็ลดการเกิดสิวใหม่ ถือเป็นหนึ่งในเคสที่ท้าทาย ดีใจมากเมื่อคนไข้หายดีและผิวพรรณกลับมาปกติ รอยแดงมีอยู่บ้าง แต่จะค่อยๆ จางไป เรื่องแบบนี้ไม่เกิดกับใครไม่รู้ ผู้ป่วยนอกจากมีอาการทางผิวหนังที่ผิดปกติแล้วคือจิตใจที่เป็นทุกข์อย่างรุนแรง สำหรับเธอแล้วในฐานะแพทย์ผิวหนังทุกร่องรอยคือการเรียนรู้ ทุกร่องรอยบนใบหน้าของคนทุกคนคือความหมายและมีความหมาย ไม่เฉพาะกับคนไข้แต่กับแพทย์ด้วย
ปัจจุบันสถานเสริมความงามทั่วไป เน้นขายผลิตภัณฑ์ด้านผิวพรรณ เช่น ยารักษาฝ้า หรือการใช้เลเซอร์ยิงฝ้า หากปัญหาที่ตามมาคือผลไม่พึงประสงค์จากยาและการยิงเลเซอร์ ที่มีการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสม โดยผู้ที่ไม่มีความรู้ความชำนาญอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้ฝ้าหรือเม็ดสีดำใต้ผิวหนังเพิ่มจำนวนในระยะยาว กลายเป็นปัญหาไม่ใช่แก้ปัญหา คุณหมออุ๋มจึงเตือนมายังคุณสาวๆ ทั่วไปที่กำลังต้องการจะลบรอยฝ้าว่า ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงจะดีกว่า ปัจจุบันคุณหมอคนเก่งใช้ชีวิตโสดแบบสบายๆ ดูแลคนไข้และดูแลตัวเอง เวลาว่างจะออกกำลังกายเล่นโยคะ ท่าของโยคะและการหายใจคือสมาธิที่ทำให้ผ่อนคลายได้จริง ขณะเดียวกันก็ท้าทายตัวเองด้วยท่าที่ยากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ (ฮา) ส่วนเวลาที่ไม่เล่นโยคะจะเล่นกับหมา 3 ตัว ได้แก่ หมวย ลาบราดอร์วัย 14 ขวบ ไทเกอร์ ชิวาวา วัย 6 ขวบ สุดท้ายคือเซจู ชิวาวาอีกตัว(แสบ) วัย 3 ปี วันที่แย่ที่สุดหรือเหนื่อยที่สุด พวกหมาๆ จะพากันมาล้มใส่ เหมือนมากอดให้กำลังใจ
“รักมากค่ะ หมานะคะ แม้จะแพ้ขนหมาก็ตาม”
การได้เป็นแพทย์ผิวหนังในปัจจุบัน คือความท้าทาย สิ่งที่ต้องเปลี่ยนตัวเองคือการกิน สมัยก่อนกินยาก กินช้า และกินได้น้อย หากในช่วงของการฝึกหัดแพทย์ที่ต้องเร่งรัดเรื่องเวลา ตั้งแต่นั้นจึงกลายเป็นคนใหม่ที่กินง่าย กินเยอะและกินได้เร็วแม้มีเวลาที่จำกัดมากก็ตาม เมื่อก่อนกินได้แต่บะหมี่หรือไข่ดาว(สุกๆ เท่านั้น)อย่างเดียว เดี๋ยวนี้กินได้หมด ขอให้ส่งมาเถอะ มีเวลาแค่ 5 นาทียังกินอิ่มได้ เมื่อก่อนกินข้าวข้างถนนไม่ได้เลย ปัจจุบันจกปลาร้าเป็นตัวๆ จากจานส้มตำข้างถนนก็เคยมาแล้วและอร่อยเสียด้วยสิ อาหารไทยไม่เกี่ยง ชอบแนวอีสานประเภทลาบหมู ลาบปลาดุก อาหารญี่ปุ่นก็ชอบมาก ปลาดิบขอกินทูน่ากับไข่ปลาแซลมอน ปลายเดือน ก.พ.นี้เตรียมลายาวไปกินอาหารญี่ปุ่นและพักผ่อนที่เกาะซัปโปโรกับสมาคมสกีแห่งประเทศไทย แฟนเพจคอยติดตามอาจมีภาพหมออุ๋มกำลังเล่นสกีมาฝาก
สุดท้ายขอจบด้วยคำสอนของคุณพ่อ พล.ต.นพ.สุมิตร วงศ์เกียรติขจร อดีตอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า “ชีวิตหมอไม่รวยนะลูก ชีวิตหมอต้องยึดจรรยาบรรณทางการแพทย์ หมอที่ดีจึงไม่ใช่หมอที่รวย แต่พ่อรับปากได้อย่างหนึ่งว่า หมอที่ดีจะเป็นหมอที่มีความสุข”


