posttoday

พิเศก อินทรครรชิต ทายาทธุรกิจสุดติสต์

22 ธันวาคม 2559

ทายาทเจเนอเรชั่นที่ 3 ของ “วิเศษนิยม” แบรนด์สินค้าที่ทำจากสมุนไพรไทยที่มีอายุกว่า 95 ปี

โดย...วราภรณ์ ภาพ... กิจจา อภิชนรจเรข

ทายาทเจเนอเรชั่นที่ 3 ของ “วิเศษนิยม” แบรนด์สินค้าที่ทำจากสมุนไพรไทยที่มีอายุกว่า 95 ปี ผู้มีอารมณ์ศิลปิน พิเศก อินทรครรชิต ที่เราคุ้นหน้าเขาดีกับงานแสดงภาพยนตร์ที่เคยได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 24 ประจำปี พ.ศ. 2543 รางวัลตุ๊กตาเงินดาวรุ่งฝ่ายชายจากภาพยนตร์เรื่อง “บางกอก แดนเจอรัส” ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเคยมีผลงานทั้งทางจอเงิน ตั้งแต่ ปมไหม เรื่องราวเกี่ยวกับการหายตัวไปของ จิม ทอมป์สัน, ทวิภพ, 7 ประจัญบาน ภาค 1 และ 2 ฯลฯ อีกทั้งเขามีงานพิธีกรและงานโฆษณาด้วย

ปัจจุบันพิเศกมีความสุขกับการช่วยคุณแม่บริหารงานของครอบครัว ลงทุนกับหุ้นส่วนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งงานที่เขาได้เข้ามาช่วยคุณแม่บริหารแบรนด์วิเศษนิยม คือ การดูแลด้านการปรับภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้ดูทันสมัย

พิเศกเล่าถึงธุรกิจของตระกูลว่า ผู้ก่อตั้งวิเศษนิยมคือ คุณตาทวด หลวงแจ่ม วิชาสอน (ราชทินนาม) และคุณยายทวดผินแจ่ม วิชาสอน และเกิดเป็นโลโก้ของวิเศษนิยม คือ ผิน กับ แจ่ม ตามประวัตินั้นคือคุณทวดรับราชการเป็นครูผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ท่านเกิดป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด มีเลือดออกตามไรฟันและเหงือกบวม ไปหาหมอเท่าไรก็ไม่หาย จนในที่สุดก็มาหายด้วยตำรายาของท่านจมื่นสิทธิแสนยารักษ์

พิเศก อินทรครรชิต ทายาทธุรกิจสุดติสต์

 

ต่อมาท่านจมื่นได้มอบตำรายาให้แก่คุณยายทวดผิน เพราะเห็นในคุณงามความดี มีกตัญญู และความขยันขันแข็งของคุณทวดผิน แต่แรกนั้น คุณทวดผินได้ปรุงยาเพื่อใช้ดูแลนักเรียน และแจกจ่ายให้ผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิด รวมถึงในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการจัดประชุมลูกเสือทั่วประเทศผิน แจ่ม วิชาสอน จึงได้ทำยาสีฟันแจกลูกเสือที่มาในงานฟรี เพื่อให้ได้ใช้กันอย่างทั่วถึง ด้วยตัวยาสีฟันที่มีคุณภาพ จึงมีคนเรียกร้องให้ทำขาย จึงได้ทำยาสีฟัน “วิเศษนิยม” ออกขายแพร่หลายต่อมาจนปัจจุบัน พ.ศ. 2498 โรงงานวิเศษนิยมมีกิจการเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ และได้ย้ายมาตั้งอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบัน แถบพระโขนง ทางฝั่งกรุงเทพฯ จึงเกิดเป็นยาสีฟันวิเศษนิยม ยาสีฟันตำรับโบราณรายแรกของประเทศไทย

สำหรับสิ่งที่พิเศกรู้สึกภาคภูมิใจ ไม่ใช่เพียงความเก่าแก่ของแบรนด์ แต่ในปี พ.ศ. 2509 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ พระราชทานตราตั้ง (พญาครุฑ) แก่โรงงานอุตสาหกรรมยาสีฟัน วิเศษนิยม ยาทาวิเศษนิยม และยาดับพิษวิเศษนิยม เพื่อเป็นสิริมงคลและเกียรติอันสูงสุด ทั้งคุณยายและคุณแม่ของเขา หลังจากได้รับพระราชทานตราตั้งครุฑ ก็ได้จัดสินค้าวิเศษนิยมเข้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทั้งสองพระองค์ทุกๆ ปี

ปัจจุบันคุณแม่ของเขายังเป็นผู้ดำเนินกิจการวิเศษนิยม โดยพิเศกเข้าไปช่วยเหลือในสิ่งที่ถนัด คือ ปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้า หลังจากจบการศึกษา ซึ่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ Abbey International College, Malvern ประเทศอังกฤษ และไปศึกษาต่อเกรด 8-12 ที่ Geelong Grammar School ประเทศออสเตรเลีย ก่อนไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที Hawaii Pacific University สหรัฐ และกลับมาศึกษาต่อปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ (MBA) ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 

สิ่งสำคัญในชีวิตของพิเศกคือ ครอบครัวต้องมาก่อน “ทำไมครอบครัวผมจึงสนใจทำสมุนไพร อาจมองที่คุณแม่ ครอบครัวท่านถนัดทำยาสีฟัน การทำการตลาดค่อนข้างยาก แต่เราไม่ได้คาดหวังว่า ปีนี้แบรนด์เราจะโตเท่านี้ ต้องทำจีดีพีให้ได้เท่าไร

พิเศก อินทรครรชิต ทายาทธุรกิจสุดติสต์

ผมเคยถามคุณแม่ อยากนั่งรถตุ๊กตา คัมรี่ สามล้อ หรือเฟอร์รารี แม่ไม่ตอบ แต่ผมรู้ว่าเฟอร์รารีแม่ไม่มีทางนั่ง คือพวกเราเคารพความคิดคุณแม่ คุณแม่ว่าทำอะไรแล้วดีเราก็ช่วยเหลือ ส่วนพี่ๆ น้องๆ ของผมความที่เราเป็นลูก เราต้องรู้จักรอ แม่ไม่ใช่คนมาพูดว่า แม่ต้องการหรือแม่คาดหวังอะไร ว่าลูกต้องเป็นแบบนี้ๆ ถ้าต้องไปช่วยธุรกิจของคุณแม่ คุณแม่ก็เคยถามผมว่าผมถนัดอะไร ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่อยากพูดอะไรมาก ปล่อยให้คุณแม่บริหารงานไปก่อน แต่ผมรู้ว่าผมอยากทำอะไร แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะเข้าไปนั่งบริหารเต็มตัว

ผมรู้สึกแคร์พี่น้องทุกคน ผมไม่อยากโชว์ว่าผมเก่ง ผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนโต เราก็เหมือนอยู่เรือลำเดียวกัน พายก็พายไปด้วยกัน ซึ่งงานที่ผมกับน้องสาวไปช่วยคุณแม่บางส่วน เช่น การทำแพ็กเกจสินค้าอยู่หลายตัว คือปรับให้มันดูทันสมัยขึ้น เรามาช่วยกันทำรีแบรนด์ เราเริ่มทำจากยาสีฟันก่อน เราแค่เขียนบนแพ็กเกจให้ชัดเจนว่าคาแรกเตอร์แบรนด์เราเป็นอย่างไร เราอยากสื่อไปถึงผู้บริโภคว่า แม้ช่วงหนึ่งวัตถุดิบสมุนไพรไทยราคาแพงขึ้น แต่คุณแม่ไม่ได้อัพราคาเลย เพราะคุณแม่อยากให้อยู่ในราคาที่ชาวบ้านซื้อได้ เราก็ยังยืนหยัด เพดานของกำไรจึงน้อยมาก ที่อื่นสรรพคุณอาจเปลี่ยน แต่ของแม่วัตถุดิบใช้เท่าไรก็ยังใช้เท่านั้น เราทำแล้วไม่ได้ไปพุ่งเป้าเรื่องกำไร แต่เราเน้นคุณภาพเต็ม ถ้าไม่เต็มก็ไม่เอาออกขาย”

พิเศกเล่าต่ออีกถึงความคุ้นชินกับธุรกิจของครอบครัวมีมาตั้งแต่เด็กๆ แบรนด์คือชีวิตของเขา โรงงานผลิตตั้งอยู่รั้วเดียวกันกับบ้าน และเขาก็ใช้ยาสมุนไพรตั้งแต่เด็กๆ เวลาวิ่งบาดเจ็บทิงเจอร์หรือยาทาแผลอื่นๆ เขาไม่เคยได้ใช้เลยนอกจากสมุนไพรของคุณแม่

“บ้านเก่าเราอยู่ที่วัดสังข์กระจาย คลองบางกอกใหญ่ และคุณทวดก็บริจาคไปสร้างเป็นโรงเรียน ปัจจุบันเราย้ายมาอยู่สุขุมวิท 79 ผมจึงผูกพันกับวิเศษนิยมมาตั้งแต่เด็กๆ คุณทวดผมช่วยเหลือคนอื่นเยอะ คุณยายสร้างแบรนด์ มีคุณแม่มาสานต่องาน

พิเศก อินทรครรชิต ทายาทธุรกิจสุดติสต์

 

ส่วนใหญ่แม่ไม่ค่อยสอนอะไร แต่ตอนเด็กๆ แม่ไม่ให้กินยาเยอะ แต่ให้ร่างกายดูแลตัวเอง ถ้าร่างกายใช้ยามากร่างกายก็จะดื้อยาในที่สุด แม่เคยบอกว่า นี่เป็นของสมุนไพรไทย อย่างอินเดียแดงก็มีสมุนไพรของเขา ผมจึงไม่คิดจะยึดครองตลาด เพราะแต่ละพืชพันธุ์ก็ควรอยู่ในพื้นที่ของเขา เราไม่จำเป็นต้องครอบครองตลาด แต่ทำแบรนด์ของเราให้ดีก็พอ เรารักษาคุณภาพเอาไว้

ผมมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทเดียวจะสามารถทำตลาดได้ทั่วโลก เพราะจำนวนประชากรมากขึ้น ก็ต้องมีอะไรที่หลากหลาย ไม่ใช่มีพืชพันธุ์เดียว เรายึดหลักธรรมด้วย ถ้าเราแก่งแย่งตลาดกันก็ไม่ต่างกับทุ่งซาฟารี ที่สัตว์ที่มีอำนาจมากกว่าจะกินทุกอย่าง ทำให้สัตว์เล็กๆ ไม่มีอะไรกิน เราจะทำธุรกิจแบบไม่แข่งขัน ผมชอบวิถีที่เรียบง่าย ทำเท่าที่จำเป็น”

แนวคิดในการใช้ชีวิตของพิเศกก็เช่นกัน เน้นการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย สมถะ พอดีพอเพียง ซึ่งแนวคิดนี้อาจได้มาจากการซึมซับการเลี้ยงดูมาจากพ่อแม่ ที่ไม่ค่อยพูดสอน แต่อาศัยการทำให้ดู

“พ่อแม่ผมไม่ได้บอกว่าลูกทุกคนต้องทำแบบนี้ คุณแม่ผมเป็นคนอดทนตั้งใจ ท่านพยายามนำเอาวัฒนธรรม คุณธรรมใส่ไว้ในลูกทุกคน ทำอะไรก็ทำได้ ทำไปเถอะ แต่ต้องมีคุณธรรม จริงๆ ชีวิตผมไม่มีอะไรมาก การดำเนินชีวิตก็ต้องมีสติอยู่เสมอ และเวลาเป็นสิ่งมีค่า ใช้เวลาที่เหลือให้เป็น หากเราทำความดี ความดีนั้นจะติดตัวเราไปทุกที่”

ย้อนกลับไปอีกภาคหนึ่งของพิเศก คือการได้เล่นภาพยนตร์ เขาเริ่มเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เขาเรียนจบไฮสกูลที่ออสเตรเลีย โดยได้รับการชักชวนจากรุ่นพี่ที่เคยมีผลงานด้านโฆษณามาก่อน และรู้ว่าคาแรกเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องปมไหมเหมาะกับพิเศกมากๆ พิเศกจึงไปลองแคสต์ดู ปรากฏก็ได้เล่นภาพยนตร์ในปี 2000 และเขาก็ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง และกลับเมืองไทยมาทำงานแสดงอยู่พักหนึ่ง แล้วก็กลับไปเรียนต่อ

พิเศก อินทรครรชิต ทายาทธุรกิจสุดติสต์

“ผมชอบการแสดง เพราะผมสนใจศึกษาเรื่องธรรมะหรือความถูกต้อง การแสดงเหมือนเป็นการนั่งสมาธิ เพราะนักแสดงต้องนั่งสังเกตตัวเอง สังเกตมูฟเมนต์ตัวเอง บางคาแรกเตอร์มูฟเมนต์ต้องช้าลง ทำให้ผมมีสมาธิมาก ตอนนี้เรากำลังทำอะไร การแสดงจึงเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจ น่าศึกษา บางทีผมต้องเล่นเป็นคนตาบอด กองถ่ายเอาผมไปนั่งดูคนตาบอด หรือนั่งดูคนที่พิการ การที่เราได้อยู่ท่ามกลางในสิ่งที่ผมต้องเล่นเพื่อให้รู้ว่าเขาสื่อสารกันอย่างไร จึงทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ซึ่งน่าสนใจมากๆ” รวมเวลา 6 ปี ที่พิเศกได้อยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งถือเป็นยุคที่ภาพยนตร์ไทยกำลังบูมพอดี

“ผมชอบแนวหนังมากกว่าละคร ผมเป็นคนที่เวลาสนใจอะไรแล้วจะศึกษาอย่างจริงจัง และผมจะเลือกทำอะไรอย่างเดียวไปเลย ผมอยากทุ่มเทอย่างจริงจัง ที่ผมออกจากวงการบันเทิงเพราะผมกลับมาช่วยที่บ้าน อยากมีสมาธิกับธุรกิจของที่บ้านมากขึ้น อีกทั้งหนังความนิยมก็ซาๆ ลงแล้ว แต่รู้ไหมว่าคนรู้จักผม 3 ปี หลังที่ผมเล่นภาพยนตร์และมีชื่อเสียงคือปีที่ 4”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่เขาประทับใจที่สุดคือ การแสดงภาพยนตร์เรื่องปมไหม บางกอกแดนเจอรัส และทวิภพ ซึ่งผลงานการแสดงเรื่องโปรดเรื่องที่ 2 ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้รับรางวัลสุรัสวดี ผู้แสดงสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก

พิเศกเชื่อว่า ทุกคนมีจังหวะชีวิตของตัวเอง เช่น การแสดงก็เป็นจังหวะหนึ่งในชีวิตของเขาที่วงการบันเทิงเปิดให้เข้าไป แต่สิ่งที่ทำจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวเอง ชีวิตเราก็เปรียบเหมือนไทม์ไลน์ตัวเลขที่วิ่งไปตลอด ถ้ามองในช่วงอายุ 20, 30, 50 คนที่ประสบความสำเร็จมักมาในช่วง 40 ใครทำงานมั่นคงก็ไม่อยากออกจากงาน แต่ออกมาได้แสดงว่าคุณกล้ามาก

“ผมเคยถามตัวเองว่า อายุ 40 อยากทำอะไรก็ทำเลย เป็นช่วงอายุกำลังดี ยังพอมีแรง สิ่งที่ผมอยากทำในอนาคตมีหลายอย่าง ผมก็อยากมีครอบครัวอบอุ่นที่ดี และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งมีคนรู้น้อยมาก ว่าผมเป็นทายาทวิเศษนิยม ผมก็ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเองเท่าไร เพราะบ้านผมน้องๆ และคุณแม่ไม่ใช่คนชอบโซเชียล เราชอบอยู่กันสงบๆ 

ตอนที่ผมเป็นดารา ผมก็ไม่อยากเป็นดาราดัง เพราะชีวิตจะไม่อิสระ ซึ่งผมคงรับไม่ได้ ถ้าดังมากคนก็รู้จักคนก็ต้องจับตามอง ผมคิดว่าโลกนี้เราควรเดินไปได้หมด ควรรู้สึกสบายใจเวลาเดินไปไหน เราเป็นโนบอดี้ดีแล้ว ระหว่างอยู่ในวงการผมก็ถามตัวเองและเกิดอาการลังเลว่า เราจะก้าวเข้าไปดีไหม แต่พื้นฐานผมสนใจธรรมะ ผมอยากค้นหาความจริงของความเป็นมนุษย์ เช่น ทำไมประเทศนี้เขาเจริญ ความเจริญคืออะไร ผมพยายามหาคำตอบอยู่”