จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เดินทางเพื่อพัฒนา
สาวขาแดนซ์แห่งค่ายเวิร์คพอยท์ มิวสิค จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เธอเดินตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9
โดย...รอนแรม
สาวขาแดนซ์แห่งค่ายเวิร์คพอยท์ มิวสิค จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เธอเดินตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 บนเส้นทางแห่งความพอเพียงและการแบ่งปัน โดยจันจิและจันทรา (พี่สาว) ได้นำริบบิ้นเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นริบบิ้นดำแจกให้ผู้ที่จะเดินทางไปถวายสักการะพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง นอกจากนั้น จันจิยังมีความเพียรในการทำงานแต่เด็กจนถึงวันนี้ในวัย 25 ปี เธอสามารถดูแลครอบครัว
วงไกอาฟอร์มทีมขึ้นมาเมื่อ 3 ปีก่อน โดย จิก-ประภาส ชลศรานนท์ เป็นคนตั้งชื่อวงที่แปลว่า พระแม่ธรณี เธอมีคาแรกเตอร์เป็นสาวลุคสปอร์ตและเปรี้ยว รับหน้าที่เป็นนักร้องสายเต้น เพราะตัวเธอได้โตขึ้นมาจากการเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินดังหลายคน
“จันจิเป็นเบื้องหลังมาก่อน เคนเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินแกรมมี่มา 5 ปี ให้เอเอฟบ้าง และระหว่างที่เป็นแดนเซอร์ก็เคยเป็นดีเจมาก่อนด้วย จากนั้นมีพี่ที่เคยเต้นด้วยกันอยู่ที่เวิร์คพอยท์ได้เรียกจันจิมาออดิชั่น ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ เพราะตัวเองร้องเพลงไม่เก่ง จะหนักเต้นมากกว่า เลยต้องฝึกต้องพัฒนาการร้องให้ดีด้วย” จันจิเริ่มทำงานเป็นแดนเซอร์ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นต้นมา
ความดี
เนื่องในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เธอและพี่สาวได้ทำริบบิ้นดำแจกฟรีแก่ผู้ที่จะไปถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ โดยมีจันทราเป็นโต้โผ ส่วนจันจิเป็นแรงงานและฝ่ายประชาสัมพันธ์ ตอนแรกเป็นการนำริบบิ้นเหลือใช้จากการทำเครื่องประดับมาทำเป็นริบบิ้นดำให้คนในครอบครัว ซึ่งในขณะนั้นมีกระแสเรื่องการใช้เสื้อสีดำมาก ทั้งคู่จึงมีความคิดอยากทำไปแจกคนที่สนามหลวง
จันทราจึงโพสต์ประกาศแจกริบบิ้นดำลงอินสตาแกรมให้คนที่จำเป็นจริงๆ แอดไลน์ส่วนตัวเพื่อติดต่อรับริบบิ้นทางไปรษณีย์ ซึ่งมีคนติดต่อเข้ามากว่า 3,000 คน จันจิจึงลงมาช่วยทำริบบิ้นเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการ
“หลังจากพี่สาวโพสต์ไปก็มีออร์เดอร์เข้าเรื่อยๆ ทำเท่าไรก็ทำไม่พอ จึงต้องชี้แจงไปว่าจะให้คนละชิ้นสองชิ้นเท่านั้น เพื่อจะแบ่งสันปันส่วนให้ครบทุกคน” จันจิ กล่าวเพิ่มเติม “จนถึงตอนนี้ก็ยังทำอยู่เรื่อยๆ แต่เปลี่ยนจากที่แจกฟรีอย่างเดียว ก็ได้นำไปขายร้านค้าเพื่อที่จะได้นำเงินมาบริจาคให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับในหลวง ซึ่งก็น่าจะทำแบบนี้ต่อไป ยังไม่มีกำหนดหยุด จนกว่าไม่มีใครต้องการเพิ่มแล้ว”
นอกจากนี้ เธอและพี่สาวยังนำริบบิ้นดำไปแจกที่สนามหลวง 2 ครั้ง รวมๆ กันนับกว่า 1,000 ชิ้น ซึ่งครั้งนี้ได้แรงจากเพื่อนพ้องน้องพี่ของทั้งสองคนมาช่วยทำ และความตั้งใจต่อไปทั้งคู่อยากนำริบบิ้นดำไปแจกให้คนต่างจังหวัด กำลังพยายามหาช่องทางที่จะส่งให้ถึงทั้ง 77 จังหวัด นับได้ประมาณ 3 หมื่นชิ้น ทุกชิ้นทำด้วยมือตั้งแต่ตัด ติดกาว ลนไฟปลายริบบิ้น ซึ่งทุกชิ้นทำด้วยความตั้งใจทั้งสิ้น
“ยังไม่มีโอกาสเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ ได้แต่แจกข้าว แจกน้ำ แจกริบบิ้นให้คนที่มาร่วมงานข้างนอก” เธอกล่าวด้วยว่า แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระชนมพรรษามากแล้ว แต่เธอก็ยังรักและผูกพันอย่างเหลือล้น
“ตอนเด็กๆ เราก็จะเรียนเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงเยอะมาก ซึ่งทำให้เราทึ่งว่าท่านทำได้ยังไง เราเห็นท่านในทีวี เห็นในโรงหนังทุกครั้ง ก็รู้สึกว่าท่านเท่และเก่งมากๆ เล่นดนตรีก็ได้ เล่นกีฬาก็ได้ พูดได้หลายภาษา พอได้ยินข่าวการเสด็จสวรรคตของพระองค์ เรายังไม่ได้เตรียมใจ มันหนักอึ้งไปหมด ท่านจากเราไปแล้วจริงๆ หรอ ท่านจากเราไปแล้วจริงๆ มันเศร้า เศร้าอยู่ในใจ”
สิ่งที่คนไทยได้ยินกันมาตลอดคือ ในหลวง รัชกาลที่ 9 สอนให้อยู่อย่างพอเพียง ซึ่งเธอได้น้อมนำมาใช้ในการทำริบบิ้นจากของเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เธอกล่าวต่อว่า “ตามปกติจันจิก็ประหยัดของเราเอง ไม่ได้คิดว่าต้องพอเพียงขนาดไหน แต่พอท่านเสด็จสวรรคต ทำให้เราต้องยึดหลักพอเพียงอย่างจริงจัง เราต้องกลับมาดูที่ตัวเราแล้วละว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้พอเพียง เพราะนี่เป็นการทำดีเพื่อพ่อที่ใครๆ ก็ทำได้ ในหลวงไม่ได้ไปไหน แต่ท่านยังอยู่ในชีวิตและจิตใจของทุกคน”
ความฝัน
จันจิจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สวนทางกับความฝันในวัยเด็กของเธอที่อยากเป็นสัตวแพทย์ แต่เมื่อได้เดินมาบนเส้นทางนี้แล้ว เธอก็ขอใช้ชื่อเสียงศิลปินเป็นเครื่องกระจายเสียงเพื่อช่วยเหลือสัตว์ และหากเป็นไปได้เธออยากตั้งมูลนิธิ
“ถ้าจันจิทำหน้าที่ในการดูแลที่บ้านได้แล้ว ก็อยากทำมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกรังแกหรือถูกปล่อยให้จรจัด จะใช้เสียงของเราช่วยเหลือชีวิตอื่น ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและสิ่งมีชีวิตร่วมโลกใบนี้”
ด้านการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่เธอจะใช้เงินไปกับสิ่งที่สามารถพัฒนาตนเองได้ เช่น ออกกำลังกาย เรียนการแสดงเพื่อหาความรู้ใหม่ และเพื่อหาประสบการณ์ จันจิชอบไปทะเลอย่าง ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งเธอใช้คำว่า เที่ยวบ้าง
“เมื่อก่อนจันจิเป็นแดนเซอร์จะไม่ค่อยมีเวลา ทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย แต่พอมาเข้าวงการ พอมีเวลาว่างมากขึ้นก็จะหาเวลาไป เพื่อออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ชาร์จพลังและพักร่างกาย เพราะตอนเต้นหนักๆ จะใช้ร่างกายเต็มที่ ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย”
เธอให้ความหมายของคำว่า การเดินทาง คือ การเปิดโลกใหม่ เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองไม่มี ซึ่งแม้ว่าเธอจะไม่ยกให้เรื่องเที่ยวเป็นอย่างแรก แต่ก็ไม่เคยลืมให้จิตใจได้พัก ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างแข็งแรง


