โมนาฮา เพรส เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์
ลำพังความโด่งดังของร้านเมซง เดอ ลา ทรูฟ (Maison de la Truffe) ร้านอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับทรัฟเฟิลชื่อดัง
โดย...พุสดี
ลำพังความโด่งดังของร้านเมซง เดอ ลา ทรูฟ (Maison de la Truffe) ร้านอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับทรัฟเฟิลชื่อดัง เจ้าของตำนานความอร่อยมากว่า 84 ปี ที่เพิ่งเดินทางมาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในเอเชีย ก็ชวนให้ร้านอาหารอิมปอร์ตแห่งนี้ดูน่าสนใจไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อได้พบกับ โมนาฮา เพรส เฮดเชฟหนุ่มจากร้านเมซง เดอ ลา ทรูฟ สาขามาดเดแลน ประเทศฝรั่งเศส ที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อช่วยดูแลเมนูอาหารทั้งหมดของร้านเมซง เดอ ลา ทรูฟ สาขาใหม่ รวมทั้งช่วยรังสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ ที่เลือกนำวัตถุดิบของไทยมาจับคู่กับทรัฟเฟิล ซึ่งเป็นพระเอกของร้าน ยิ่งทำให้ร้านนี้ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ขึ้นเป็นกอง
แรกพบ ด้วยหน้าตาของโมนาฮา ที่สะท้อนความเป็นเอเชียอย่างชัดเจน มองเผินๆ ยังคล้ายคนไทยด้วยซ้ำ งานนี้เพื่อคลายความสงสัย เชฟหนุ่มเลยเฉลยทันควันว่า เขาเป็นลูกครึ่งกัมพูชาและเวียดนาม คุณพ่อเป็นชาวกัมพูชา ส่วนคุณแม่เป็นชาวเวียดนาม แต่เพราะครอบครัวของเขาอพยพไปอยู่ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เขายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ สำหรับเขาจึงเหมือนเป็นพลเมืองของฝรั่งเศส 100% เพราะเกิดและใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่
อดตั้งคำถามต่อไปไม่ได้ว่า นอกจากทำอาหารเก่งแล้ว ยังพูดได้หลายภาษาหรือไม่ งานนี้ดูเหมือนเชฟจะเจอคำถามนี้บ่อยจนชิน เลยได้แต่อมยิ้มและส่ายหน้าทันควัน เพื่อบอกให้รู้ว่า เขาพูดได้แต่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเท่านั้น
“ผมเป็นลูกคนเล็ก มีพี่สาว 1 คน พี่ชาย 1 คน คุณพ่อและพี่สาวผมเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผมอยากเป็นเชฟ คือสมัยเด็กคุณพ่อจะชอบเข้าครัวทำอาหาร และถ่ายทอดเทคนิคการทำอาหารให้ผม
เสมอๆ แต่ด้วยความเป็นเด็ก ผมก็ยังไม่เคยคิดว่าจะยึดเอาการทำอาหารมาเป็นอาชีพ จนวันหนึ่งพี่สาวผม ซึ่งทำงานในโรงแรม จะจัดงานดินเนอร์เพื่อรับรองแขกกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 10 กว่าคน เขาเลยชวนผมไปช่วย ตั้งแต่ไปจ่ายตลาด จนกระทั่งมาเข้าครัว ผมคิดว่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมตกหลุมรักการทำอาหารและอยากเป็นเชฟ”
พอเริ่มมีจุดหมายในชีวิตชัดเจน โมนาฮาในวัย 15 ปี จึงตัดสินใจที่จะมุ่งมั่นเดินตามทางที่ฝัน ด้วยการเข้าเรียนในโรงเรียนสอนทำอาหารที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส แม้ว่าตอนนั้นทางบ้านจะไม่เห็นด้วยมากนักก็ตาม
“ที่บ้านผมไม่ค่อยสนับสนุนให้เอาดีทางนี้เท่าไร (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่า ผมอยากเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ผมจึงตัดสินใจเข้าโรงเรียนสอนทำอาหารโดยตรง เพื่อเรียนรู้พื้นฐานการทำอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด หลังจากเรียนจบผมก็เริ่มต้นทำงานในร้านอาหารทันที ผมได้มีโอกาสทำงานในร้านอาหารที่ฝรั่งเศส ก่อนจะเดินทางไปทำงานตามร้านอาหารต่างๆ ในอเมริกา และได้เข้ามาทำงานที่ เมซง เดอ ลา ทรูฟ ในที่สุด”
โมนาฮา บอกว่า การทำงานที่เมซง เดอ ลา ทรูฟ ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะเขาไม่เพียงได้เรียนรู้การทำอาหารจากเชฟที่มีฝีมือ แต่ยังได้รับการฝึกสอนให้มีความรู้อย่างเจาะลึกเกี่ยวกับทรัฟเฟิล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารฝรั่งเศส และได้รับการยกย่องว่าเป็น “Diamond of French Gastronomy” หรือเพชรแห่งศาสตร์การปรุงอาหารฝรั่งเศส
“ผมว่าทรัฟเฟิลคือวัตถุดิบที่เชฟทุกคนปรารถนาจะได้ใช้ทำอาหาร ส่วนตัวผมเองก่อนจะมาอยู่ที่เมซง เดอ ลา ทรูฟ ก็เคยมีโอกาสได้ลองใช้ทรัฟเฟิลในการทำอาหารมาบ้าง แต่ไม่บ่อย เพราะอย่างที่รู้ว่าทรัฟเฟิลมีราคาสูงมาก แต่พอได้อยู่ที่เมซง เดอ ลา ทรูฟ กลับเป็นคนละเรื่องเลย”
โมนาฮา บอกว่า ที่เมซง เดอ ลา ทรูฟ เขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเชฟที่ได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับทรัฟเฟิลอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่แหล่งที่มาของทรัฟเฟิลที่ดี วิธีการเลือกทรัฟเฟิลที่ดี ตลอดการนำทรัฟเฟิลมาสร้างสรรค์เป็นเมนูใหม่ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแม้เชฟและพนักงานทุกคนของเมซง เดอ ลา ทรูฟ จะได้รับการเทรนให้มีความรู้เกี่ยวกับทรัฟเฟิล แต่ไม่ใช่เชฟทุกคนจะได้มาต่อยอดเป็นเมนูใหม่ๆ ได้
“ทรัฟเฟิลมีหลายชนิด แต่ละชนิดเหมาะกับการมาจับคู่กับส่วนผสมบางอย่าง ส่วนตัวผมชอบแบล็กทรัฟเฟิลที่สุด เพราะด้วยรสชาติของมัน สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ต่างกับไวต์ทรัฟเฟิล ซึ่งจะมีกลิ่นและรสสัมผัสคล้ายกระเทียม จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาใช้กับเมนูของหวาน”
ในวัย 28 ปี กับตำแหน่งเฮดเชฟของเชนร้านอาหารชื่อดัง โมนาโฮ มองว่า เขาโชคดีที่ได้รับโอกาสที่ดีกว่าเชฟคนอื่น เขาบอกว่า มีเชฟอีกหลายคนที่เก่งกว่าเขา แต่อาจจะไม่ได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้
“มองย้อนกลับไป ผมคิดว่าสิ่งที่พาให้ผมมาถึงตรงนี้ได้ คือการเลือกที่จะเปิดรับโอกาส ตอนที่เมซง เดอ ลา ทรูฟ ทาบทามผมมาร่วมงานด้วย ผมยังลังเลนะ เพราะผมยังไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ทางบ้านผมหลังจากเริ่มเปิดรับกับเส้นทางที่ผมเลือก กลับเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวไปข้างหน้า และตัดสินใจเข้ามาทำงานที่นี่เพื่อพัฒนาฝีมือ จนวันนี้ใครจะคิดว่าผมจะมาอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว (ยิ้ม) ทั้งหมดเริ่มต้นจากวันนั้นหากผมไม่คว้าโอกาส ชีวิตผมก็คงมาไม่ถึงตรงนี้”
ถามว่า ถ้าวันนี้เขาไม่ได้ใส่ผ้ากันเปื้อน โชว์ฝีมือทำอาหาร คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ เชฟโมนาฮาโปรยยิ้มก่อนตอบว่า เขาชอบดนตรี เพราะฉะนั้นเขาเลยเลือกจินตนาการตัวเองว่า ถ้าวันนี้ไม่จับตะหลิว คงจับไมค์เป็นนักร้อง หรือโลดแล่นในวงการดนตรี อย่างไรก็ตาม ในเมื่อโชคชะตานำพาเขามาอยู่หลังเตา ไม่ใช่หน้าเวที เขาก็พร้อมมุ่งมั่นทำงานที่รักในวันนี้ให้ดีที่สุด
ใครที่อยากมายลโฉมหรือมาสัมผัสฝีมือของเชฟหนุ่มอนาคตไกลคนนี้ ต้องรีบกันหน่อย เพราะเขาจะประจำการอยู่ที่นี่จนถึง 31 ต.ค.นี้เท่านั้น


