"Brexit" บทสะท้อน ชาตินิยมยังไม่ตาย
เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
หลายคนคงไม่ได้ตามเรื่อง Brexit มาก่อนจนกระทั่งวันลงประชามติเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลายสำนักข่าวอธิบายไปแล้วผมเลยจะไม่ขอลงรายละเอียด แต่จะสะท้อนข้อสังเกตส่วนตัวเล็กๆ น้อย เป็นข้อๆ เนื่องจากวันนี้หยุดงานพอดีไม่มีที่จะให้ลงในหนังสือพิมพ์
1. การถอนตัวจากอียูของสหราชอาณาจักร หรือ Brexit สะท้อนการผงาดของชาตินิยมในยุโรป ในช่วงไม่กี่ปี (อันที่จริงไม่น่าจะถึงปีด้วยซ้ำ) ฝ่ายชาตินิยมในยุโรปกล้าแข็งขึ้นมาแบบสายฟ้าแลบ ส่วนหนึ่งเพราะปัญหาการคลังในกรีซ ที่อียูเอาเงินไปประเคนแบบไร้อนาคต คนทั่วไปเกิดความรู้สึกว่าทำไมต้องจ่ายภาษีตั้งมากมายเพื่อเอาไปช่วยประเทศไร้วินัย เพียงเพราะพันธะการเป็นสมาชิกอียูถึงกับทำให้เกือบต้องพินาศกันทั้งกลุ่ม
2. อีกส่วนมาจากนโยบายผู้รับผู้อพยพแบบไร้ขีดจำกัด เข้าใจว่าอียูคิดเป็นตัวอย่างด้านมนุษยธรรม แต่หลายประเทศเริ่มรับไม่ไหว แถมผู้อพยพที่เข้ามาหลายคนก็เป็นพวกแฝงตัวเข้ามาหางานไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ไหนจะปัญหาก่อการร้ายอีก สื่อสายอนุรักษ์นิยมประโคมข่าวไม่เว้นวันว่าผู้อพยพคือภัยคุกคาม คือก่อการร้ายแฝงตัว คือพวกที่มาเป็นกาฝากมาอยู่แล้วไม่กลับแน่ ยังไม่นับกระแสหวาดกลัวอิสลามที่มาแรงอย่างมาก
3. การโยกย้ายแรงงานแบบไร้พรมแดนทำให้คนท้องถิ่นตกงาน คนงานที่เข้ามายังเป็นพวกไร้ทักษะอีกต่างหาก มาตรการอียูที่เข้มงวดทำให้แรงงานและเกษตรกรท้องถิ่นทำมาหากินไม่ขึ้น เช่น ชาวประมงหากินในถิ่นตัวเองไม่ได้เพราะกฏอียูห้าม ประชาชนต้องจ่ายภาษีสิ่งแวดล้อมเพิ่ม นโยบายการค้าทำให้สินค้าประเภทอาหารจากภายนอกถูกคัดกรองเข้มงวด เงินยูโรมีค่าแข็งปั๋ง ทำให้ของกินของใช้มีราคาแพงทั้งที่ไม่ควรแพง คนธรรมดาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จะเห็นได้ว่าภาคที่โหวตออกมากที่สุดใน UK คือภาคเหนือภาคอิสานที่คนยากจนที่สุด รวมถึงแถวมิดแลนด์ที่กึ่งจนกึ่งกลางๆ
4. ฝ่ายหนุนให้อยู่ต่อ (Bremain) บอกว่า อยู่กับอียูแรงงานจะได้มีสิทธิ์สวัสดิภาพ สิ่งแวดล้อมจะดี รวมกันแล้วปลอดภัย ซึ่งอุดมการณ์แบบนี้สวยหรู แต่ซื้อใจคนเดินดินไม่ได้ คนทั่วไปต้องตกงาน ดังนั้นเรื่องสิทธิสวัสดิการจึงไร้ความหมาย คนทั่วไปต้องเติมน้ำมันแพงขึ้นเพราะกฎหมายสิ่งแวดล้อม อาหารปลอดภัยด้วยมาตรฐานสินค้าสูงลิ่ว แต่ทำให้การเข้าถึงแหล่งอาหารจำกัด เจออย่างนี้คนบริเตนจึงไม่อยากจะอยู่รวมกลุ่มอีก
5. ชาวบริเตนและบางประเทศที่อยากจะแยกตัวรู้สึกว่า การรวมกลุ่มไม่ได้ทำให้รวยขึ้นแต่จนลง ผลประโยชน์ถูกแชร์ออกไป แต่ฝ่ายที่จ่ายเงินส่วนกลางมากเป็นอันดับ 2 อย่าง UK กลับไม่ได้กลับมาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พวกชาตินิยมเลยกระทุ้งไปว่าทำไมไม่แยกตัวออกมาซะเลย เวลาทำข้อตกลงการค้าเราจะไม่ได้ไม่ต้องแชร์ใคร แล้วยังไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางช่วยประเทศที่งอมือองเท้าอีก แถมในทางการเมือง UK ยังจะกลับมาเป็นมหาอำนาจเอกเทศ ไม่ต้องแชร์อำนาจกับเยอรมนีหรือฝรั่งเศส
6. ใน UK มีพรรค UKIP ที่ชาตินิยมจ๋าและถูกเย้ยหยันบ่อยๆ ว่าเป็นพวกชาตินิยมล้าหลัง ในยุคที่เขานิยมสากลไร้พรมแดนไม่มีใครเขามาสนใจความเป็นชาติกันหรอก แต่ปรากฎว่าคราวนี้ UKIP เป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง สามารถโน้มน้าว (หรือขู่) ให้ชาวบริเตนเชื่อว่าถูกอียูปล้นอธิปไตย และต้องน้อมรับนโยบายจากนักการเมืองอียูที่ตัวเองไม่ได้เลือก แถมโจมตีว่าพวกนี้ยังทำงานแบบเช้าชามเย็นชามออกกฎหมายเลอะเทอะเป็นกาฝากของผู้เสียภาษีตาดำๆ โดยแท้
7. Brexit อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างคนมีอันจะกินกับคนเดินดินธรรมดา ฝ่ายภูมิใจกับสากลนิยม ฝ่ายหลังไม่รู้สึกว่าอียูไม่ช่วยให้รวยขึ้นและอุดมการณ์สากลนิยมมันกินไม่ได้ซ้ำยังทำร้ายพวกเขาอีก จึงพากันหันมาพึ่งชาตินิยมเป็นสรณะ ฝ่ายปัญญาชนมองอียูเป็นเบ้าหลอมแห่งอารยธรรมยุโรปที่เป็นรูปธรรม แต่คนเดินดินไม่ภูมิใจด้วยทั้งยังมองผ่านแว่นชาตินิยมมองเห็นอียูเป็นตัวทำลายอัตลักษณ์ของพวกเขาด้วย ซึ่งพรรค UKIP และฝ่ายอนุรักษ์นิยมสายชาตินิยมเช่น บอริส จอห์นสัน ใช้แนวคิดนี้เรียกคะแนน Brexit จนได้ผลชะงัดนัก
8. นึกถึงเมื่อปลายทศวรรษที่ 1990 กระแสการรวมกลุ่มเริ่มมาแรง และมีผู้กล่าวว่า รัฐชาติเอกเทศมันอยู่ไม่ได้แล้วต้องรวมกลุ่มกัน และชาตินิยมเป็นของใกล้สูญพันธุ์ แต่ Brexit สะท้อนให้เห็นว่าคนยังต้องการตัวตนความเป็นชาติ ไม่อยากให้คนชาติอื่นๆ มากำหนดอนาคตตน และชาตินิยมยังไม่ได้ตายซ้ำกำลังจะหนักข้อขึ้นเสียอีก รายต่อไป ให้คอยจับตา สวีเดน ฝรั่งเศส ให้ดี อาจมีเผ่นเช่นกัน แต่ชาตินิยมเหล่านี้ยังไม่ถึงขั้นเผด็จการฟาสชิสต์ เพียงแค่หวนกลับมาหวงผลประโยชน์ตัวเอง เลิกชูอุดมการณ์โลกสวยไร้พรมแดน
9. ผลจากการโหวตออก สก็อตแลนด์ที่โหวตขออยู่ต่ออาจจะขอทำประชามติแยกตัวจากอังกฤษ และไอร์แลนด์เหนือก็ไม่แน่เหมือนกัน ดังนั้น Brexit จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของสหราชอาณาจักร (เหลือแค่อังกฤษกับเวลส์) ก็เป็นได้ ซึ่งนี่ก็เป็นผลมาจากกระแสชาตินิยมอย่างหนึ่งเหมือนกัน
10. อนึ่ง มีนักเรียนเก่าอังกฤษที่บ้านผมเขาถามเรื่อง Brexit กับการรวมกลุ่ม AEC ในระดับแอดวานซ์ ซึ่งเราใช้อียูเป็นแรงบันดาลใจ ผมบอกไปว่าตัวอย่างก็มีแล้ว ถ้ายังดันทุรังทำไปเห็นจะเละแน่ๆ แค่อองซานซูจีมาขอเรื่องสิทธิ์แรงงาน คนไทยยังเคืองกันทั้งเมือง ชาวบริเตนเขาเจอหนักกว่าเราอีก แถมยุโรปมีวัฒนธรรมที่แนบสนิท ส่วนอาเซียนนั้นต่างกันเกินไป ต่างจนไม่น่าจะรวมตัวเป็นทองแผ่นเดียวกันได้
ที่มา https://www.facebook.com/kornkitd/posts/10153548971161954


