เฮนริค โอลอฟสัน ภารกิจปั้นคนไทยไปครอสฟิตโลก
โดย...กองทรัพย์ ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์
โดย...กองทรัพย์ ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์
เห็นรูปร่างสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มที่มีดีกรีแชมป์ครอสฟิต (CrossFit) ประเทศไทย 3 ปีซ้อน เฮนริค โอลอฟสัน แบบนี้ ก็เพราะเขาไม่ได้เพิ่งลุกมาออกกำลังกายได้ 2 หรือ 3 ปี แต่การันตีด้วยการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากสหรัฐและนอร์เวย์ หนุ่มตาน้ำข้าวที่มีจุดเริ่มต้นชีวิตในอาเซียนด้วยการเป็นเทรนเนอร์และเจ้าของยิมในเวียดนามตั้งแต่ปี 2553 ก่อนจะติดตามคุณแม่ซึ่งเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนนานาชาติมาอยู่เมืองไทยเมื่อ 6 ปีก่อน เริ่มต้นชีวิตครอบครัวและทำงานเป็นเทรนเนอร์ที่ แอสไปร์ คลับ อโศก ก่อนที่จะเป็นนักกีฬาครอสฟิตประเทศไทย เป็นตัวแทนไปแข่งขันระดับเอเชียหลายคนอาจจะสงสัยเกี่ยวกับครอสฟิต ซึ่งเฮนริคอธิบายว่า เป็นชนิดของการออกกำลังกายที่ผสมผสานหลายรูปแบบกีฬาเข้ามาในโปรแกรมการฝึกทั้งยิมนาสติก คาร์ดิโอ และเวตเทรนนิ่ง มาไว้ด้วยกัน ครอสฟิตเป็นที่นิยมในต่างประเทศ แต่สำหรับในเมืองไทยเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวต่างชาติ และยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักในกลุ่มคนไทย อาจเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่า กีฬาชนิดนี้เหมาะกับคนที่มีร่างกายแข็งแรงและชอบออกกำลังแบบบ้าพลังเท่านั้น แต่สำหรับครอสฟิตเป็นการออกกำลังกายที่เน้นความสมดุล นักครอสฟิตแถวหน้าจะมีความอึดใกล้เคียงนักมาราธอน แข็งแรงใกล้เคียงนักยกน้ำหนัก และเคลื่อนไหวสวยงามใกล้เคียงกับนักยิมนาสติก แต่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นโดยตรง
“ผมพื้นเพเป็นคนสวีเดน แต่เป็นนักกีฬาครอสฟิตตัวแทนประเทศไทยไปแข่งในระดับเอเชียมา 3 ปีแล้ว ความหวังคือการแข่งระดับโลก ซึ่งรายการที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า ครอสฟิต โอเพ่น (CrossFit Open) โดยผู้แข่งขันจะต้องทำท่าที่เขาบังคับตามเวลาที่กำหนด เขาจะดูจากความแข็งแรง ความทนทาน และความยืดหยุ่น และจำนวนครั้งที่เราทำได้ต่อนาที โดยจะมีบันทึกการแข่งขัน และจัดลำดับของนักกีฬา แต่กว่าเราจะเข้าไปสู่รอบชิงแชมป์โลกเราต้องไต่ระดับจากตัวแทนประเทศ ซึ่งตอนนี้ผมเป็นที่หนึ่งของเมืองไทย ไปแข่งที่เอเชียได้ที่ 11 ซึ่งเขาตัดแค่ 10 คนเท่านั้นผมพลาดนิดเดียว จากนั้นก็จะไปแข่งระดับเอเชียแปซิฟิกที่ออสเตรเลียเพื่อคัดเหลือ 5 คน ก่อนจะไปแข่งระดับโลกที่สหรัฐอเมริกา รวมทุกภูมิภาคแล้วน่าจะมีนักกีฬากว่า 3 แสนคน เข้าร่วมกีฬาชนิดนี้ แต่สำหรับผมตอนนี้ผมอาจจะต้องเริ่มปั้นนักกีฬาใหม่เพราะผมก็อายุมากขึ้น (หัวเราะ) แต่ละปีการแข่งขันก็ยากมากขึ้น และคนก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมว่าคนไทยมีสิทธิ์ไประดับโลกได้ เพราะเท่าที่เห็นการยกน้ำหนักดีมาก”
ในการพูดคุยเราพอจะเดาได้ว่า สิ่งที่ทำให้เฮนริคแข็งแกร่งมากก็คือกิจกรรมและกีฬาที่หลากหลายตั้งแต่เด็กของเขา “ผมเติบโตในสวีเดนเริ่มเล่นกีฬาจากฟุตบอล เทนนิส ฮอกกี้น้ำแข็ง รักและเล่นกีฬาแทบทุกประเภทเพราะคนที่ปลูกฝังและเป็นแรงบันดาลใจให้คือคุณพ่อซึ่งเป็นครูสอนพละ ผมเลือกเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่มีความสุข”
การที่ทั้งพ่อและแม่เป็นครู หล่อหลอมให้เฮนริคเป็นคนที่อยากถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้คนอื่นได้รู้ การเลือกเป็นเทรนเนอร์และมียิมของตัวเองในเมืองไทยจึงเป็นเป้าหมายที่เขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพของคนไทย “เหตุผลหนึ่งของการมาเมืองไทยของผม นอกจากอาหารและผู้คนที่น่ารักแล้ว ผมคิดว่าเอเชียโดยรวม องค์ความรู้ด้านการออกกำลังกายยังไม่มากเท่ากับแถบที่ผมอยู่ ผมว่ามันน่าตื่นเต้นที่จะได้เห็นและมีส่วนร่วมกับการเติบโตของความรู้ด้านนี้ และที่ผ่านมาตลอด 6 ปีนี้ผมว่าเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ตอนนี้มีตัวเลือกสำหรับการออกกำลังกายเฉพาะทางมากขึ้น ผู้คนเริ่มแอ็กทีฟมากขึ้น คนหันมาวิ่ง เล่นมวยไทย ไตรกีฬา อีกอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปมากก็คืออาหาร เมืองไทยมีตัวเลือกที่เป็นอาหารสุขภาพมากขึ้น”
“ถ้าถามผมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมคิดว่าเมืองไทยต้องไปอีกไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการแข่งขันระดับโลกในกีฬาครอสฟิตแต่ว่าเพียงแค่เวลาสั้นๆ ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากพอสมควร ทั้งไลฟ์สไตล์และศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเกี่ยวกับการออกกำลังกายเปลี่ยนไป ผมว่าคนไทยมีศักยภาพที่จะไประดับโลกได้ เพราะอย่างการแข่งขันรายการในเมืองไทยที่สามารถจุดประกายได้ดีคือรายการ Test of Will โดยอันเดอร์ อาร์เมอร์ ประเทศไทย เมื่อปลายต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ทำให้คนหันมาฟิตตัวเองเพื่อแข่งขันในรายการนี้ปีหน้า มันเป็นการท้าทายตัวเองในเวลาที่จำกัด”
เมื่อถามถึงการเตรียมตัวของเขาก็ได้รับคำตอบว่า ทำอยู่ทุกวัน “หนึ่งวันของผมบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นรูทีน แต่มันดีมากสำหรับตัวผมคือการตื่นนอนตอนตี 5 เริ่มออกกำลังกายตอน 6-7 โมง หลังจากนั้นก็ทำงานถึง 10 โมง และออกกำลังกายอีกทีจนถึง 11 โมง ส่วนช่วงบ่ายก็จะพักเพื่ออ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง และเริ่มทำงานอีกครั้งตอน 4 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม ก่อนจะกลับบ้านและนอนตอน 4 ทุ่ม วันว่างของผมก็จะหาบทความเกี่ยวกับอาหาร สุขภาพ และการออกกำลังกาย มาเป็นความรู้เพิ่มเติม ถ้าทำสิ่งที่รักให้เป็นอาชีพได้ผมว่าเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา
ผมจะไม่หักโหมเพื่อให้ตัวเองสำเร็จในเป้าหมายระยะสั้น แต่มันคือเป้าหมายระยะยาวของผมคือการเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน นอนให้เพียงพอ กินอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็พร้อมในทุกวัน ส่วนใหญ่นักกีฬาที่บาดเจ็บในการแข่งขันเพราะเขาออกกำลังกายมากเกินไปก่อนแข่งขัน”
เฮนริค บอกว่า การทำงานด้วยความรักและจนมันเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์เช่นที่เป็น ทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อ และต้องการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เป้าหมายของเขาคืออยากรู้ว่า ตัวเองจะดีที่สุดได้แค่ไหน เร็วได้แค่ไหน ยกน้ำหนักได้หนักที่สุดเท่าไหร่ เขาอยากมีเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง และรู้สึกดีกับตัวเองในทุกๆ วัน แล้วสิ่งที่ได้ตามมาคือรูปร่าง “เป้าหมายของแต่ละคนต่างกัน วิธีการสอนนักเรียนของผมคือจะอธิบายเพื่อให้ความรู้ว่าแต่ละท่าที่เราทำ นักเรียนจะได้อะไร เพื่อให้เขามีแรงบันดาลใจ เริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ทีละนิด ผมว่าเป็นอะไรที่ยั่งยืนและสร้างความตื่นเต้นให้กับนักเรียนผมเสมอ เป้าหมายหลักของผมคือการสอน 6 เดือน แล้วคนคนนั้นสามารถออกกำลังกายได้เองโดยที่เขามีความรู้ติดตัวไปด้วย”
ไม่เกิน 1 ปี เราอาจจะได้เห็นยิมเทรนดี้เฉพาะทางในแบบของนักกีฬาครอสฟิตของเฮนริค...เขาว่าอย่างนั้น!


