มหาศึก 4 ธาตุจอมราชันย์
“เอ็ม. ไนต์ ชยามาลาน” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด (The Sixth Sense, Unbreakable, Signs, The Village และ The Happening ) ซึ่งล้วนเป็นหนังแนวตื่นเต้นระทึกขวัญกระชากใจคนดู แม้ช่วงหลังจะถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าฝีมือตก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแฟนๆ จำนวนมากที่แอบเชียร์หวังให้กอบกู้ชื่อเสียงให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“เอ็ม. ไนต์ ชยามาลาน” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด (The Sixth Sense, Unbreakable, Signs, The Village และ The Happening ) ซึ่งล้วนเป็นหนังแนวตื่นเต้นระทึกขวัญกระชากใจคนดู แม้ช่วงหลังจะถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าฝีมือตก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแฟนๆ จำนวนมากที่แอบเชียร์หวังให้กอบกู้ชื่อเสียงให้กลับคืนมาอีกครั้ง
โดย....อินทรชัย พาณิชกุล
แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าคนรอจะผิดหวังไปตามๆ กัน เมื่อผลงานลำดับล่าสุดที่ทุกคนวาดหวังว่าจะเป็นแนวระทึกขวัญตามสไตล์ถนัด กลับเป็นภาพยนตร์แอ็กชันแฟนตาซี เรื่อง The Last Airbender (มหาศึก 4 ธาตุจอมราชันย์) ซึ่งเขารับหน้าที่ควบทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ โดยได้ทีมงานด้านภาพและสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดมาร่วมงาน
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากการ์ตูนซีรีส์ยอดฮิตเรื่อง “Avatar : The Last Airbender” ของ ไมเคิล ดังเต ดิมาร์ติโน และไบรอัน โคนีทซ์โก ว่าด้วยเรื่องราวของชนชาติทั้ง 4 อย่าง ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มี “อวตาร” เป็นผู้ควบคุมธาตุทั้ง 4 แต่แล้วเมื่ออวตารได้สิ้นชีพลง โลกก็ต้องตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงคราม เพราะชนชาติแห่งไฟ ซึ่งนำโดยประมุขผู้ชั่วร้าย หวังจะครองครอบโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว ได้เริ่มทำการสงครามเข่นฆ่าล้างผลาญเผ่าพันธุ์อื่นจนเกือบสิ้นซาก และตั้งตนเป็นใหญ่นับแต่บัดนั้น
หนึ่งศตวรรษผ่านไป อวตาร เจ้าแห่งควบคุมธาตุทั้ง 4 ก็ได้กลับชาติมาเกิดอีกครั้งบนโลก ในร่างของ แอง (โนอาห์ ริงเกอร์) เด็กน้อยวัยเพียง 12 ปี ชนชาติแห่งลม ผู้ไม่รู้ชะตากรรมและภาระรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของตัวเอง จึงต้องได้รับความร่วมมือจาก คาตาร่า (นิโคลา เพลท์ซ) เจ้าแห่งน้ำ และซ็อกก้า (แจ็กสัน แร็ทโบน) เจ้าแห่งดิน พี่ชายของเธอ เพื่อเป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายในการกู้โลกที่ถูกแบ่งแยกด้วยสงคราม ให้นำความสงบสุขและสมดุลกลับมาอีกครั้ง
ด้วยความโดดเด่นในการผนึกกำลังของทีมงานสร้างสรรค์หลังกล้อง ได้แก่ แอนดรูว์ เลสนี ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ (The Lord of the Rings) คอนราด บัฟฟ์ ผู้ลำดับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ (Titanic) รวมทั้งผู้สร้างงานวิชวลเอฟเฟกต์และแอนิเมชัน คือ บริษัทสุดยอดด้านงานเอฟเฟกต์อย่าง อินดัสเทรียล ไลต์ แอนด์ เมจิก (Avatar) ทำให้คนดูได้ตื่นตะลึงไปกับความงดงามอลังการงานสร้างของแต่ละโลเกชัน แต่ละฉาก โดยเฉพาะภาพความยิ่งใหญ่ของอภิมหาสงครามที่ห้ำหั่นกันระหว่างสองฝ่าย และทุกฉากแอ็กชันสุดมัน ไม่ว่าจะการปล่อยน้ำให้พลิ้วไหวทรงพลัง ปล่อยเปลวไฟเผาผลาญ และพลังลมปราณฟาดฟันศัตรูตลอดทั้งเรื่อง
นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ประหลาดแปลกๆ ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ กราฟฟิก (ซีจี) สร้างขึ้นมาใหม่อย่าง แอ็ปป้า ควายไบซัน 6 ขา สูง 16 ฟุต สามารถแหวกว่ายไปในอากาศได้ แรดคิโมโด ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชนชาติไฟใช้ขี่ในการทำศึกสงครามที่ยาวถึง 32 ฟุต ค้างคาวลีเมอร์บินได้ และมังกรจิตวิญญาณ ที่คอยปรากฏตัวเพื่อให้คำแนะนำและนำทางแองไปในการเดินทางผจญภัยอันแสนอัศจรรย์
ข้อด้อยของหนังเรื่องนี้อยู่ที่บทหนัง ทั้งการดำเนินเรื่องและบทสนทนาดูทื่อๆ น่าเบื่อ ทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ไม่ค่อยจะได้เรื่อง เมื่อเทียบกับหนังที่ต้นทุนสูง เสียแรงที่มีทีมเขียนบท ทีมสร้างสรรค์เจ๋งๆ รวมถึงฝีมือที่ได้การยอมรับของ เอ็ม. ไนต์ ส่วนนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตัวเด่นอย่างแอง ขณะที่คนอื่นๆ ก็แสดงออกมาไม่ค่อยจะถึงบทบาทสักเท่าไหร่ นอกจากนี้ฉากแอ็กชันที่แม้ประกอบด้วยกระบวนท่าสวยงาม แถมได้เอฟเฟกต์มาช่วยจนเลิศหรู แต่ดูรวมๆ แล้วไม่สะใจเท่าที่ควรจะเป็น
สรุปสั้นๆ ว่า ถ้าเทียบกับหนังเด็กแฟนตาซีสุดอลังการอย่าง The Chronicles of Narnia แล้วละก็ หนังเรื่องนี้แพ้ราบคาบ!
สำหรับคอหนังแฟนตาซี หนังเรื่องนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่มีอะไรให้จดจำ ส่วนแฟนพันธุ์แท้ของ เอ็ม. ไนต์ ชยามาลาน คงจะหดหู่ใจไม่น้อยกับการกลับมาอย่างผิดที่ผิดทางของเจ้าตัวในรอบนี้ ที่จะคุ้มก็แค่สเปเชียลเอฟเฟกต์สุดอลังการ...เท่านั้น


