posttoday

นาซีกลายพันธุ์ใน MEME ขงจื่อ

03 เมษายน 2559

ในหนังสือ The Selfish Gene ซึ่งเขียนโดย Richard Dawkins นำเสนอทฤษฎีที่ทั้งน่าประหลาดและน่าสะพรึงว่า

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ในหนังสือ The Selfish Gene ซึ่งเขียนโดย Richard Dawkins นำเสนอทฤษฎีที่ทั้งน่าประหลาดและน่าสะพรึงว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากพาหนะของพันธุกรรม (Gene) ซึ่งเจ้าพันธุกรรมนี่แหละที่จะพยายามเอาตัวรอดและเป็นอมตะโดยการส่งถ่ายตัวตนไปสู่รุ่นต่อรุ่น

ทุกสิ่งมีชีวิตถูกชักใยโดยพันธุกรรม

ผึ้งมีเหล็กในไว้ทำร้ายศัตรู แต่การใช้เหล็กในต้องแลกด้วยชีวิต เมื่อมันตัดสินใจใช้เหล็กในทิ่มแทงออกไป มันจะตายทันที แต่เมื่อรังประสบภัย มันกลับยอมตาย ผู้คนมักอธิบายว่า แมลงสังคมอย่างผึ้งยอมตายเพื่อปกป้องฝูง เพราะมันเสียสละแทนผู้อื่น นั่นจริงหรือ?

ตั๊กแตนตำข้าวจะกัดกินคู่ของตัวเองขณะผสมพันธุ์เข้าด้ายเข้าเข็ม ทำให้การผสมพันธุ์เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนหยดสุดท้าย และตัวผู้จะกลายเป็นอาหารบำรุงตัวอ่อนต่อไป แมลงชนิดนี้ซาดิสต์และมาโซคิสต์จริงหรือ?

พฤติกรรมการคัดเลือกคู่ของสัตว์ต่างๆ มักหาคู่ครองที่สามารถทำสิ่งที่ยากๆ ได้ ซึ่งบางครั้งฟุ่มเฟือยเวลาจนต้องถามว่าทำไปเพื่ออะไร หรือแม้แต่ว่าทำไมมนุษย์เพศหญิงถึงมีระยะหมดวัยสืบพันธุ์ และในตอนนั้นก็จะละความสนใจจากลูกๆ ลงแล้วหันกลับมาเอ็นดูหลานๆ แทน

Dowkins อธิบายว่าทั้งหมดเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายถูกครอบงำโดยพันธุกรรมที่เห็นแก่ตัว

ผึ้งปกป้องฝูงของมันเพราะในฝูงมีพี่น้องซึ่งพันธุกรรมใกล้เคียงกับตัวมันมากที่สุด พันธุกรรมเห็นแก่ตัว สั่งให้มันต้องยอมสละชีพตายไป เพื่อให้พี่น้องอยู่รอด ตั๊กแตนตำข้าวตัวเมียกัดกินตัวผู้ขณะผสมพันธุ์ และตัวผู้ก็ต้องให้ตัวเมียกิน ก็เพื่อรับรองว่าลูกมันจะมีสารอาหารครบ ทำให้พันธุกรรมที่มีส่วนหนึ่งเหมือนมันเริ่มต้นได้มั่นคงในรุ่นต่อไป สัตว์ต่างๆ เลือกคู่ที่ยอมเสียเวลาทำอะไรยากๆ เพื่อให้ได้คู่ที่ปกป้องพันธุกรรมของตนได้ดีที่สุด หรือมนุษย์ในวัยเสี่ยงกับการให้กำเนิดที่ไม่สมบูรณ์ จะพัฒนากลไกหยุดการแพร่ขยายพันธุกรรมของตน แล้วเบี่ยงไปทุ่มเทเอ็นดูรุ่นหลาน ที่มีพันธุกรรมเสี้ยวหนึ่งของตนฝังตัวอยู่ (ปู่ย่าตายายจึงรักหลานๆ มากขึ้น และรักลูกน้อยลง เพราะพันธุกรรมรุ่นลูกเข้มแข็งพอแล้ว)

พฤติกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตจึงถูกครอบงำโดยสิ่งเล็กๆ ที่แทรกอยู่ในทุกอณูของร่างกายเรา สิ่งนั้นเห็นแก่ตัวกว่าที่เราคิด และมันไม่ลังเลที่จะทำลายและทำร้ายพาหนะถ้าเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของตัวมัน

ทั้งนี้ คำว่าเห็นแก่ตัวในหนังสือเล่มนี้ Dawkins ไม่ได้ต้องการให้มองในแง่ลบ แต่ให้มองในแง่หลักการของพฤติกรรม

สิ่งมีชีวิตจึงไม่ได้มีค่าในตัวมันเอง เป็นแค่พาหนะถ่ายทอดให้พันธุกรรมอยู่รอดต่อไป

กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่พันธุกรรมที่เป็นตัวขับเคลื่อนทุกอย่างในเกมแห่งชีววิทยา

ในหนังสือเล่มเดียวกัน ยังเสนอทฤษฎีที่น่าประหลาดกว่าว่า นอกจากพันธุกรรมแล้ว เรายังมีสิ่งที่ไร้ร่องรอยยิ่งกว่านั้นแฝงตัวควบคุมมนุษย์ โดยนิยามศัพท์ใหม่ขึ้นมาให้สิ่งนั้นว่าคือ มีม (Meme)

มีม คือ พฤติกรรม ความคิด ของใครคนใดคนหนึ่งที่ส่งไปถึงอีกคน แล้วขยายตัว หรือฝังตัวไปจากคนสู่ผู้คน จากรุ่นสู่รุ่น มีพฤติกรรมแบบเดียวกับพันธุกรรมที่เห็นแก่ตัว แต่เป็นกายละเอียด

มีม มาจากภาษากรีกว่า Mimetismos ที่แปลว่า การลอกเลียนแบบ แต่ถูกย่อให้เหลือเพียงชื่อ Meme เพราะต้องการล้อกับคำว่า Gene (พันธุกรรม)

หลายคนคงคุ้นกับคำว่า “มีม” มาบ้างแล้ว กับศัพท์โลกโซเชียลคำว่า Internet Meme ซึ่งหมายถึง Viral ที่ลุกลามไปเรื่อย เช่น คำว่า เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่ ตามหาเหนียวไก่ หรือแม้กระทั้งพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ ขี่จักรยาน หรือมุมมองการท่องเที่ยวแบบชิกๆ ฯลฯ

ศัพท์คำว่า Internet meme ก็มาจาก คำว่า มีม (Meme) นี่แหละ ซึ่งที่จริง Dowkins นิยามคำว่า มีม ไว้ตั้งแต่ปี 1976 ก่อนยุคโลกอินเทอร์เน็ต

ที่จริง มีม (Meme) กินความหมายกว้างขวางและเก่าแก่กว่า Internet meme

มีม เป็นได้ทั้ง ความคิด พฤติกรรม พิธีกรรม ที่พยายามเอาตัวรอดเหนือพาหนะของมัน มีมที่อยู่คู่ประวัติศาสตร์มนุษย์มาเนิ่นนาน ก็เช่น มีมของนักคิดนักปรัชญา หรือแม้กระทั่งมีมของนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ หรือแนวคิดจากรากวัฒนธรรมเก่าแก่

มีมของโสกราตีส มีมของเซน ฯลฯ รวมถึง มีมของขงจื่อ

หลายครั้งเพื่อให้มีมอยู่รอดต่อไป สิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์อาจยอมแม้กระทั่งสละชีวิต และสละความอยู่รอดด้านพันธุกรรมเพื่อมีม พฤติกรรมมนุษย์จึงไม่ได้หยุดคำอธิบายอยู่ที่พันธุกรรมที่เห็นแก่ตัว

แนวคิดเรื่องสละชีพเพื่อชาติ ระเบิดฆ่าตัวตายเพื่ออุดมการณ์ต่างๆ คือตัวอย่างสายโหดของมีม

มีมบางมีมมีอายุยืนยาว ขณะที่บางมีมก็ถูกสกัดดาวรุ่งแต่เนิ่นๆ

แน่นอน การถ่ายทอดทั้ง Meme และ Gene ย่อมมีการคัดสรร และวิวัฒนาการ มีมแต่ละยุคแต่ละคนย่อมมีความหมายไม่เหมือนกันอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงรักษาข้อมูลบางส่วนไว้ได้ และเปิดโอกาสให้บางส่วนวิวัฒน์ต่อไป

คติคิดของขงจื่อเป็นอะไรที่สัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน แตกต่างกับปรัชญาตะวันตกซึ่งเป็นหลักวิชาการ คติคิดของขงจื่อจึงเป็นมีมที่ง่ายต่อการดำรงอยู่มาตลอด 2,500 ปี ไม่ต้องแปลกใจว่าแม้ในยุคนี้เองภาพประกอบคำพูดของขงจื่อเมื่อ 2,500 ปีที่แล้วก็ยังคงถูกแชร์มากมายและหลากหลาย

เดาได้ไม่ยากว่า ช่วงการส่งผ่านมิได้มีเพียงส่งผ่านได้ราบรื่นหรือสูญพันธุ์ แต่ยังมีการกลายพันธุ์และปรับตัว จนหลายครั้งยังน่าสงสัยว่าอาจมีการตัดต่อพันธุกรรม

มีมก็คงเช่นกัน โดยเฉพาะในยุคที่มีมได้เครื่องมือขยายแนวคิดที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากปากต่อปาก เป็นวิทยุ เป็นทีวี จนถึงเป็น Internet ซึ่งให้อำนาจคนแทบทุกคนมีสิทธิสร้างมีมใหม่ และหรือตัดต่อมีมของคนอื่นได้อย่างสะดวกมือ

เทคโนโลยีที่สร้างและปรับแต่งมีมได้อย่างสะดวกรวดเร็ว จึงเปรียบเทียบได้กับสารอาหารที่สมบูรณ์ และอำนาจการตัดต่อพันธุกรรมที่กระจายไปทั่ว ซึ่งอาจทำให้พันธุกรรมโตเร็วเกินขนาด กลายพันธุ์ และลุกลามไปเป็นมะเร็งหรือสัตว์ประหลาด

พักนี้ผมพบ Internet Meme ที่ผู้คนชอบแชร์อยู่ชุดหนึ่งที่เขียนว่า

….คำพูดของขงจื่อ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน

“คนฉลาดและขยัน ควรส่งเสริมให้เป็นใหญ่ คนฉลาดและขี้เกียจ ควรเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา คนโง่และขี้เกียจ ยังพอบังคับให้ทำงานได้ คนโง่และขยัน ต้องเอาไปตัดหัวทิ้ง เพราะจะทำให้งานเสีย”

ขงจื่อไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ แต่นี่เป็นคำพูดของแม่ทัพนาซี ลูกน้องของฮิตเลอร์* (*บ้างว่าเป็นคำพูดของ Erich von Manstein หนึ่งในแม่ทัพที่วางแผนเก่งที่สุด หรือไม่ก็เป็นของ Kurt von Hammerstein-Equord ผบ.ทบ.แห่งกองทัพนาซี)

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี