posttoday

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ

20 มีนาคม 2559

ผมกำลังมองดูแบบจำลองการรบวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือปี 2436 ในรัชกาลที่ 5 ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ

โดย...โยธิน อยู่จงดี

ผมกำลังมองดูแบบจำลองการรบวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือปี 2436 ในรัชกาลที่ 5 ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ การรบที่เคยได้แต่จินตนาการตามตำรา แต่นึกไม่ออกว่าทำไมป้อมพระจุล หรือป้อมปืนเสือหมอบ รวมถึงเรือรบหลวงทั้ง 5 ลำถึงไม่สามารถยับยั้งการรุกล้ำอธิปไตยชาติไทยได้เลย

ครานั้นฝรั่งเศสส่งเรือรบมาเพียง 2 ลำ คือ เรือแองคองสตังต์ เรือปืนโคเมต์ และเรือนำร่องเยเบเซอีก 1 ลำ มาถึงสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในขณะที่เรือรบหลวงฝ่ายไทยมีเรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือปืนมกุฎราชกุมาร เรือทูลกระหม่อม และหมู่เรือราชนาวีไทย ร่วมกันต่อต้านก็ไม่สามารถทานความแข็งแกร่งของเรือรบฝรั่งเศสที่มีเพียง 3 ลำได้

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเราเสียดินแดนส่วนหนึ่งให้กับฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการคงเอกราชสืบถึงปัจจุบัน สะท้อนใจกลับมาให้เราคิดต่อว่าแล้วไทยเราจะต้องเสียไปอีกสักเท่าไหร่ เราถึงจะกลับมารักและสามัคคีกันเหมือนเดิม

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ แผงท้ายเรือหลวง พาลีรั้งทวีป ในรัชกาลที่ 5

 

พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์อาจจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายคน ซึ่งเราก็ไม่ว่ากันหรอกครับเพราะแต่ก่อนผมเองก็รู้สึกเบื่อไม่น้อยไปกว่าคนอื่นเหมือนกัน แต่สำหรับพิพิธภัณฑ์ทหารเรือแห่งนี้แล้ว ถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของกองทัพเรือที่ทรงคุณค่าควรแก่การเยี่ยมชม ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์เริ่มต้นเมื่อถึงคราวต้องปลดประจำการยุทโธปกรณ์ ในปี 2485 จึงได้มีคำสั่งให้มีการรวบรวมวัตถุที่สำคัญต่างเตรียมสำหรับการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ จนกระทั่งสามารถเปิดให้เข้าชมในปี 2498 ในอาคารราชนาวิกสภา ต่อมาย้ายไปจัดแสดงที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า (บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา) เมื่อปี 2500 และสุดท้ายในปี 2515 จึงได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นอย่างเป็นทางการริมถนนสุขุมวิท ตรงข้ามโรงเรียนนายเรือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ถึงปัจจุบัน

ตัวพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 2 อาคาร คืออาคารจัดแสดงเครื่องใช้ของ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภารเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) ภายในจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ อาทิ ถ้วยชา อาวุธประจำองค์ เครื่องทรงชุดทหารเรือ อุปกรณ์บนเรือหลวงพระร่วง ที่เคยทรงบัญชาการ แนะนำว่าเราควรเดินมาที่อาคารแรกเพื่อลงชื่อในสมุดเยี่ยมชม และกราบพระรูปของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ก่อนเป็นอันดับแรก

หลังจากนั้นค่อยเดินมาที่ตัวอาคาร 2 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนอาคารเปิดโล่ง จัดแสดงวัตถุขนาดใหญ่ที่เคลื่อนย้ายลำบาก อาทิ ไฟประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย ที่เคยประจำอยู่ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า (ปากแม่น้ำเจ้าพระยา) ปืนเที่ยง ใช้ยิงบอกเวลาสมัยรัชกาลที่ 5 ตอร์ปิโด ขนาดต่างๆ ที่ใช้ในเรือรบผิวน้ำ และเรือสุวรรณเหรา เป็นเรือพระที่นั่งศรีที่ใช้เป็นเรือพระประเทียบในกระบวนเรือพระราชพิธี ทำโดยช่างในสมัยรัชกาลที่ 5

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ตัวอย่างทุ่นลอยในสมัยสงครามโลก

 

เฉพาะชั้นล่างถ้าได้อ่านประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจแล้วครับ โดยเฉพาะเรือสุวรรณเหราทั้งสองลำ ซึ่งกรมศิลปากรได้มอบให้พิพิธภัณฑ์ทหารเรือดูแลต่อ เรือนี้เป็นเรือสำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้เสด็จลำลอง หรือใช้เป็นเรือพระประเทียบในกระบวนเรือพระราชพระราชพิธีสำหรับเจ้านายฝ่ายในมีเก๋ง (ห้องโดยสาร) ปิดมิดชิด มีหน้าต่างบานเกร็ด ปิด-เปิด ก็เพื่อความสะดวกในการเสด็จประทับแรมยังพื้นที่ห่างไกล และป้องกันการมองจากภายนอก

อีกชิ้นคือไฟประภาคารขนาดใหญ่ชิ้นแรกของประเทศไทยตั้งอยู่ที่นี่ นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษเมื่อครั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ ได้สร้างประภาคารขึ้นที่ปากน้ำเจ้าพระยา กองทัพเรือเรียกว่า “ประภาคารสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา” มีอายุใช้งาน 55 ปี จึงเลิกใช้และนำมาเก็บรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาต่อไป

ขั้นมาชั้นที่ 2 จัดแสดงเรือรบชนิดต่างๆ ที่ใช้ในกองทัพเรือ เรือที่ใช้ในขบวนพยุหยาตราชลมารคเรือรบในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในรูปแบบโมเดลจำลองขนาดใหญ่ให้เห็นถึงส่วนประกอบเรือต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีมากหากมาเป็นหมู่คณะและมีเจ้าหน้าที่ทหารเรือเป็นคนบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเรือแบบต่างๆ และส่วนประกอบของเรือที่น่าสนใจ

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ส่วนประกอบเครื่องยนต์เรือ

 

นอกจากนี้ ยังมีจัดแสดงหัวเรือแบบต่างๆ ไว้ซึ่งแต่ละชิ้นอายุไม่น่าต่ำกว่า 100 ปีทั้งนั้น เพราะในสมัยโบราณเมื่อเรือลำใดทำการได้ชัยชนะต่อเรือลำอื่น ก็มักจะตัดเอาหัวเรือตรงทางหัวสุดข้างบนของเรือนั้นมาติดไว้ที่หัวเรือของตน

รูปที่ติดหัวเรือรบมักใช้รูปที่ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ตามนิยายและรูปในทางศาสนา เพื่อแสดงเป็นเครื่องหมายให้เห็นหรือให้ทหารประจำเรือระลึกถึงความเก่งกล้าตามเรื่องในนิยายนั้น แต่ในสมัยปัจจุบันรูปที่ติดตรงส่วนหัวเรือสุดตอนบนนี้บางนาวีก็มี บางนาวีก็ไม่มี ในจักรพรรดินาวีญี่ปุ่นมีเป็นรูปดอกไม้คิขุ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ของพระเจ้าจักรพรรดิ ในราชนาวีไทยใช้รูปครุฑ ซึ่งเป็นเครื่องหมายประจำพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดิน บางนาวีก็ใช้ตราอาร์ม ส่วนสถานที่ติดตั้ง บางนาวีก็เปลี่ยนที่ต่างกันไปบ้าง แต่คงอยู่ใกล้กับทางหัวเรืออยู่นั่นเอง สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อนั้นแปรเปลี่ยนไปตามนิยมสังคมโลกท่ีเปลี่ยนแปลงไป

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ แบบจำลอง กระบวนพยุหยาตราชลมารค

 

สุดท้ายคือชั้นที่ 3 เป็นการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับยุทธนาวีต่างๆ ซึ่งเป็นวีรกรรมการรบของกองทัพเรือ อาทิ ยุทธนาวีเกาะช้าง วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 การรบระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ยุทธนาวีดอนน้อย เป็นการรบระหว่างไทยและกองทัพคอมมิวนิสต์ในลาว ในเขต จ.หนองคาย (แม่น้ำโขง) จากการพยายามสกัดการรุกล้ำเข้ามาของคอมมิวนิสต์ในดินแดนไทยผ่านทางเกาะดอนน้อยที่อยู่กลางลำน้ำโขง และยุทธการบ้านชำราก จ.ตราด การรบที่ทหารไทยพยายามผลักดันให้ทหารเวียดนามที่ล้ำแดนเข้ามาถอยร่นกลับไป แม้จะมีสมรภูมิไม่มากเหมือนเหล่าทัพอื่นๆ แต่ก็เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันประเทศทางทะเล ซึ่งมีผลชี้วัดการครอบครองดินแดนบนแผ่นดินอยู่ไม่น้อย

แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็คือการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ผ่านอาวุธยุทโธปกรณ์และแบบจำลองที่ชี้ให้เห็นชัดว่าไทยเราแม้จะด้อยกว่าชาติอื่น แต่ใจสู้นั้นไม่แพ้ใคร และเมื่อไม่สามารถชนะได้ด้วยกำลังก็เอาชนะด้วยสติปัญญา เช่น ความปรีชาสามารถของรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงหาทางออกแก่ประเทศไทยด้วยวิธีที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่เคยคิดดูถูกบรรพชนอยากให้มาที่นิทรรศการแห่งนี้ แล้วจะรู้ว่าพวกท่านล้วนทำดีที่สุดแล้วเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเรา

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ แท่นบังคับควบคุมเรือหลวงพระร่วมของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

 

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อาวุธกองทัพเรือสมัยสงครามโลก

 

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ขวานปล่อยเรือของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

 

รำลึกรักชาติ บนพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ราชรถทรงชั่วคราว ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

ข่าวล่าสุด

"รมว.นฤมล" เปิดโครงการ อาชีวะ-ขนส่งอาสา 150 ศูนย์ ดูแล-ลดอุบัติเหตุทั่วไทย