อิ่มอร่อยสุดประหยัด (ย่าน) อาหารโดนใจมนุษย์ออฟฟิศ
ในยุคข้าวยากหมากแพง ไม่ว่าจะหยิบจับจ่ายอะไรสักอย่างก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าจะคุ้มค่าเงินไหม
โดย...กองบรรณาธิการ
ในยุคข้าวยากหมากแพง ไม่ว่าจะหยิบจับจ่ายอะไรสักอย่างก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าจะคุ้มค่าเงินไหม สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้ว หนึ่งในค่าใช้จ่ายสำคัญก็คงจะเป็นค่าอาหารกลางวัน (บางคนพ่วงมื้อเช้า บ่าย และค่ำมาด้วย) ซึ่งต้องใช้ต้องกินกันทุกวัน เฉพาะค่าอาหารอย่างเดียวก็เป็นตัวเลขมากโข ถ้าประหยัดในส่วนนี้ได้ก็จะเป็นเรื่องดี แต่ถึงจะต้องประหยัดแค่ไหน อาหารก็ควรจะรสชาติดีและมีปริมาณมากพอให้อิ่มท้องด้วย
นั่นเองทำให้ย่านออฟฟิศทั้งหลายจึงมีร้านอาหารมากมายผุดขึ้นมาคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นร้านห้องแถว ศูนย์อาหาร ตลาดนัดรถเข็น แผงลอย ฯลฯ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ถ้าได้ชื่อว่าอร่อย ถูก และดีแล้ว พลังมนุษย์ออฟฟิศจะทำให้ร้านหรือย่านนั้นคึกคักขายดิบขายดีไปในทันใด และไม่ได้มีเพียงแต่คนในออฟฟิศละแวกใกล้เคียงที่ไปอุดหนุน แต่ย่านของกินถูกและดีเหล่านั้นจะมีผู้คนทั่วไปจากทั่วสารทิศแวะเวียนไปฝากท้องเสมอ
อาหารถูกปากราคาถูกใจ ในย่านช็อปปิ้ง
ตรอกเล็กๆ ติดกับโรงภาพยนตร์สยามสกาลา คือ แหล่งรวมร้านอาหารราคาถูก ที่ตั้งอยู่ใจกลางสยามสแควร์ที่อยู่มาคู่กับโรงภาพยนตร์มายาวนาน ในช่วงเที่ยงวันยันบ่ายแก่ๆ มักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เข้ามารับประทานอาหารกันอย่างหนาตา ที่นี่จึงเป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำของมนุษย์เงินเดือน ที่ไม่อยากจ่ายค่าอาหารมากเกินความจำเป็น
ภายในตรอกเล็กๆ มีร้านอาหารเรียงรายทอดยาวไปตามแนวทางเดิน มีของกินหลากหลายให้เลือกซื้อ ซึ่งจะเป็นลักษณะของร้านอาหารจานเดียวง่ายๆ ที่เน้นความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเงินในกระเป๋า เหมาะกับวิถีของคนวัยทำงานที่มีช่วงเวลาอันเร่งรีบ โดยร้านอาหารที่พบส่วนใหญ่ก็มักเป็นร้านข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ขาหมู ฯลฯ
และแน่นอนว่าราคาอาหารตรงนี้เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ที่รายรอบในย่านสยามต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม่ค้าขายข้าวแกงรายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ป้าขายข้าวแกงมานานกว่า 40 ปีแล้ว และร้านข้าวที่นี่ก็มีขายมานานพอๆ กับโรงภาพยนตร์สยามสกาลา ซึ่งจะเปิดขายทุกวัน ตั้งแต่จันทร์-เสาร์ และหยุดทุกวันอาทิตย์ โดยคนที่เข้ามากินที่นี่มีทั้งพนักงานบริษัท พนักงานในห้าง นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งคนทั่วไป
“เมนูที่ป้าขายก็เป็นข้าวแกง 1 อย่าง ราคาจานละ 35 บาท 2 อย่าง ราคา 40 บาท คือเพิ่มกับข้าวเป็นอย่างละ 5 บาท เริ่มขายกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไปจนถึง 5 โมงเย็น ขายกันในราคาทั่วไปไม่แพง ซึ่งมันเป็นราคาปกติทั่วไปที่เหมาะกับคนที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย พนักงานส่วนมากจึงมักเข้ามาซื้อข้าวแล้วนั่งกินกันตรงนี้ หรือบางคนก็ห่อใส่กล่องนำกลับไปกินข้างนอก”
มนัชญา บุญเรื่อง พนักงานธนาคารสาขาในห้างหรู หนึ่งในขาประจำย่านนี้เล่าให้ฟังว่า ร้านอาหารในห้างนั้นราคาแพง แม้จะเป็นฟู้ดคอร์ทราคาก็ยังคงสูงอยู่ จึงเลือกมากินข้าวที่นี่มากกว่า
“มากินข้าวที่นี่เกือบทุกวัน บางวันถ้าไม่มีเวลาก็สั่งให้แม่บ้านมาซื้อเข้าไปให้กินในห้องพักของพนักงานที่ธนาคารตอนช่วงพักเบรก ส่วนใหญ่ก็กินข้าวราดแกงง่ายๆ เพราะเรามีเวลาจำกัด จะให้ซื้อข้าวในห้างกินทุกวันก็คงไม่ไหว มีร้านข้าวตรงนี้ทำให้พอช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้”
เช่นเดียวกับ รุ่งนภา แสนแข็ง พนักงานธนาคารในห้างหรูอีกคนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน บอกว่า “ยิ่งทำงานในห้าง ก็ยิ่งต้องเซฟค่าใช้จ่ายให้มากกว่าที่อื่น เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้มันเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจที่พร้อมจะดึงดูดให้เราต้องเสียเงินไปกับมันโดยเฉพาะอาหารการกิน
“ร้านแพงๆ ไม่ใช่ว่าไม่กินนะ ก็กินบ้างนานๆ ครั้ง แต่จะให้มานั่งกินฟู้ดคอร์ท จานละ 60-70 ในห้างทุกวันมันก็ไม่ไหว ร้านข้าวตรงข้างสยามสกาลามันจึงไม่ใช่แค่ร้านทางเลือก แต่มันคือร้านอาหารหลักของพนักงานอย่างเราก็ว่าได้ รวมไปถึงมนุษย์เงินเดือนหลายคนก็มักจะมากินข้าวที่นี่กัน เพราะมีราคาไม่แพง”
อีกย่านอยู่ไม่ไกลกันคือ หลังวัดปทุมวนารามหรือถนนหน้าโรงเรียนวัดปทุมวนาราม ถือเป็นอีกแห่งที่มีร้านอาหารราคาถูกให้เลือกซื้อ บริเวณนี้อยู่ท่ามกลางตึกสูง แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าเลื่องชื่อ มีทั้งร้านอาหารตามสั่ง ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว รวมถึงอาหารอีสาน ลาบ น้ำตก ส้มตำ และไก่ย่าง อาหารพื้นฐานง่ายๆ ตามแบบฉบับของร้านค้าริมทางทั่วไป
ปูนิ่ม จูมงคล หนึ่งในผู้ประกอบการร้านอาหารเล่าว่า ขายผัดไทยและอาหารตามสั่งมานานกว่า 10 ปี ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานในห้าง และกลุ่มนักเรียนนักศึกษา โดยจะเริ่มขายตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปจนถึงตอนเย็น มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 500-1,000 บาท ซึ่งร้านค้าริมทางในบริเวณนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
“ลูกค้าเข้ามากินส่วนมากจะเป็นพนักงานที่อยู่ในห้าง ราคาเมนูอาหารหากเทียบกับในห้างก็ถือว่าไม่แพง ซึ่งจะตกอยู่ที่เมนูละ 40-50 บาท โดยช่วงที่ผู้คนคึกคักจะเป็นช่วงกลางวัน โดยเฉพาะในตอนเที่ยง ที่นี่เราจะเปิดขายกันทุกวันตั้งแต่ช่วงสาย ไปจนถึงตอนเย็น หรือบางคนก็ตั้งร้านขายตอนกลางคืนก็มี สลับสับเปลี่ยนกันไปตามที่แต่ละคนสะดวกมาตั้งร้าน”
พ่อค้าส้มตำ-ไก่ย่างรายหนึ่งกล่าวว่า จุดเด่นของร้านอาหารริมทางหน้าโรงเรียนวัดปทุมฯ คือ ตั้งอยู่ติดห้างสรรพสินค้าจึงสะดวกในการเดินมาเลือกซื้อและรับประทานอาหาร ซึ่งจะทำให้คนที่มาเดินในห้างหรือคนทั่วไปที่ผ่านเข้ามามีทางเลือกในการรับประทานอาหารมากขึ้น
“ผมเปิดร้านขายไก่ย่างส้มตำที่นี่ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเย็น มีทั้งเมนูไก่ย่าง ไส้กรอก แหนม ข้าวเหนียว ส้มตำ ตามแบบฉบับอาหารอีสาน ซึ่งร้านเล็กๆ ตรงนี้เราขายกันในราคาทั่วไปที่ไม่แพงมาก ลูกค้าส่วนใหญ่นอกจากจะมาจากในห้างแล้ว ยังมีนักเรียนและครูในโรงเรียนในช่วงเวลาพักเที่ยง หรือหลังเลิกเรียน”
พนักงานฝ่ายขายรายหนึ่งในห้างดังย่านนั้นกล่าวว่า สาเหตุที่เลือกรับประทานที่นี่เป็นประจำเนื่องจากสะดวก และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าศูนย์อาหารในห้าง หรือบางครั้งก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง เลยถือโอกาสแวะซื้อข้าวกลับเข้ามานั่งทานด้วย
“ผมทานข้าวที่นี่เป็นประจำทุกวัน เพราะศูนย์อาหารในห้าง มีราคาค่อนข้างแพง และอยู่คนละฝั่งกับที่ผมทำงานอยู่ ซึ่งเดินมาตรงนี้จะใกล้กว่า ในที่ทำงานจะมีห้องทานอาหารไว้ให้สำหรับพนักงาน ซึ่งบางครั้งก็เดินมาซื้อแล้วนำกลับไปทานข้างใน หรือถ้ามีเวลาพักนาน ก็นั่งทานตรงนั้นเลย แล้วแต่ความเหมาะสมของช่วงเวลาในสถานการณ์ตอนนั้น ซึ่งส่วนมากพนักงานในห้างก็มักจะทานกันแบบนี้ เพราะมันประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายของเราด้วย” พนักงานฝ่ายขายกล่าว
25 บาทก็อิ่มได้ ตลาดรวมทรัพย์ อโศกฯ
ช่วงเวลากลางวัน ณ ตลาดรวมทรัพย์ อยู่ตรงข้ามอาคารแกรมมี่ข้างๆ ตึกมิดทาวน์ อโศก ที่สร้างบนพื้นที่ 5 ไร่ มีโรงอาหารขนาดใหญ่บรรจุร้านขายข้าวมากกว่า 30 ล็อก เรียงรายให้บริการอาหารราคาย่อมเยา ราคาประมาณ 25-60 บาท เปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเช้า 7-8 โมงเช้า ก็มาอิ่มอร่อยได้แล้ว และจะปิดในเวลาช่วง 4 โมงเย็น
มนัส โพธิ์แจ้ง วัย 25 ปี ช่างซ่อมแอร์ และ จรัญ เวียงสีมา อายุ 42 ปี หัวหน้าช่างซ่อมแอร์ ซึ่งมักจะแวะมากินข้าวกลางวันที่นี่เป็นประจำถ้าวันไหนมีงานย่านอโศก ทั้งคู่บอกว่า ด้วยค่าครองชีพในยุคปัจจุบันที่ค่อนข้างสูง การเลือกกินข้าวมื้อกลางวันราคาถูกเป็นสิ่งจำเป็นมากเพื่อช่วยรัดเข็มขัด
“ผมเงินเดือนหนึ่งหมื่นห้าพันบาท แต่เดือนไหนทำโอทีเยอะก็ได้ราวสองหมื่นบาท แต่ด้วยข้าวของยุคนี้แพง บางครั้งก็จำเป็นต้องประหยัดกว่าปกติ แม้ยังไม่ได้แต่งงานแต่ก็ต้องส่งเงินไปให้แม่ที่ต่างจังหวัดด้วย ทำงานในกรุงเทพฯ 20 ปีถ้าอยากเหลือเงินเก็บมากๆ ก็ต้องประหยัด แต่กรุงเทพฯ มีทั้งปัญหารถติดหากมาทำงานสายก็โดนหักค่าแรงอีก” จรัญบอก ด้วยงานที่ทำให้ต้องเดินสายไปซ่อมแอร์ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งสองยอมรับว่าตลาดรวมทรัพย์แห่งนี้ ราคาอาหารอย่างเช่นข้าวแกงที่ตกอยู่จานละ 25-35 บาทนั้นราคาย่อมเยามากๆ เมื่อเทียบกับข้าวแกงย่านนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังที่อยู่ห่างกลางใจเมือง แต่กลับมีราคาที่แพงกว่า
“ผมชอบกินข้าวแกง เพราะมีให้เลือกหลายชนิด แล้วร้านข้าวที่นี่รสชาติก็อร่อยเกือบทุกร้าน แล้วก็ตักให้เยอะมากเรียกว่ากินจนอิ่มเลย บางมื้อถ้าอยากประหยัดก็จะเลือกสั่งข้าวแกงแค่ 2 อย่าง ราคา 35 บาท ซื้อน้ำอีก 15 บาท มื้อหนึ่งตก 50 บาท ผมคิดว่าเป็นราคาที่โอเค ช่วยผมใช้เงินได้ประหยัดไปจนถึงช่วงสิ้นเดือน” มนัส บอก
สำหรับเมนูยอดฮิตที่ตลาดรวมทรัพย์แห่งนี้คือ ข้าวคลุกกะปิร้านคุณวรรณ ข้าวแกงที่ร้านครัวไทย และร้านสุภาพรก็รสชาติดี หรือน้ำพริกกะปิและน้ำพริกอื่นๆ ที่ร้านน้ำพริกเบญจรสก็ถูกปาก หรือข้าวมันไก่ตอนที่ร้านสมข้าวมันไก่ตอนก็อร่อยราคาขั้นต่ำ 40 บาทไปถึง 50 บาท แม้จะไม่ได้มาทำงานย่านนี้บ่อย แต่เฉลี่ยแล้ว 8 ครั้ง/หนึ่งเดือน ก็จะมากินข้าวที่ตลาดแห่งนี้ และพวกเขามากินข้าวที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว ซึ่งราคาอาหารที่ผ่านมาก็ยังเดิมๆ
ด้าน ณัฏฐนันท์ ลิ่มสุวรรณ วัย 50 ปี เถ้าแก่ร้านสุภาพร ซึ่งจำหน่ายอาหารตามสั่ง ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตก ต้มเลือดหมู กวยจั๊บ เย็นตาโฟ และอื่นๆ มา 10 ปีแล้ว กล่าวว่า ตลาดรวมทรัพย์แห่งนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของคนออฟฟิศย่านอโศก เหตุเพราะราคาอาหารย่อมเยา สามารถควบคุมราคาได้มาตลอดเพราะเปิดขายอาหารแบบเสรี สามารถขายอาหารซ้ำชนิดกันได้ ทำให้มีการแข่งขันที่รสชาติและราคาไปโดยปริยาย เมนูข้าวแกงที่ร้านสุภาพรนั้นขึ้นชื่อเรื่องต้มข่าไก่ และมะระหมูยัดไส้ที่ขายหมดตลอด
“เสน่ห์ของตลาดแห่งนี้ผมคิดว่าอยู่ตรงความหลากหลายชนิดของอาหาร คุณภาพดีแต่ราคาไม่แพง สามารถคุมราคาได้ เจ้าไหนขายของแพงก็จะอยู่ไม่ได้ อย่างร้านผมขายอาหารตั้งอยู่บนหลักว่า คนทุกระดับสามารถกินได้ ลูกค้าผมมีตั้งแต่ระดับแม่บ้าน ยามไปจนถึงคนทำงานธนาคารก็มาเป็นลูกค้าประจำมากมาย เพราะผมเน้นขายอาหารที่หลากหลายครอบคลุมความชอบของคน”
ราคาอาหารที่นี่ปรับขึ้นเล็กน้อยจากก่อนหน้านี้เพราะค่าเช่าและค่าแรงพนักงานเพิ่มขึ้น “ผมคิดว่า ปัจจัยราคาน้ำมันหรือก๊าซหรือผักแพงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะต้องขึ้นราคา แต่ที่กระทบพ่อค้าแม่ค้ามากๆ คือราคาค่าแรงพนักงาน ไม่มีใครหรอกอยากได้กำไรน้อย แต่หากเราอยู่ได้และลูกค้าอยู่ได้ มันก็โอเคครับ และผมคิดว่าเราจะสามารถตรึงราคาอาหารไปได้อีกหลายปีครับ หากเรายอมกำไรน้อยหน่อย”
ตลาดแห่งนี้ เปิดราวๆ 6 โมงเช้า ปิดราวๆ 4 โมงเย็น ขายตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ปิดเสาร์และอาทิตย์
ราคาเป็นมิตร โรงอาหารทีโอที เพลินจิต
โรงอาหารทีโอที สาขาเพลินจิต เปิดให้บริการจำหน่ายอาหารราคาย่อมเยามานานกว่า 30 ปีแล้ว อุบลรัตน์ เกตุกิ่ง ผู้เช่าล็อกที่ 14 ขายข้าวแกงรสเด็ดมานานกว่า 3 ปีแล้ว ที่เลือกมาปักหลักที่นี่เพราะอยู่ย่านกลางใจเมือง แต่ค่าเช่าไม่แพงจึงสามารถขายราคาเป็นมิตรที่ 25-40 บาท แต่ก็มีอาหารชุดอย่างน้ำพริกปลาทูและผักทอดชุดที่ขายแพงสุดคือ 60 บาท
ช่วงเวลา 11.00-13.00 น. ที่นี่เรียกว่าคนแน่นขนัดจนเก้าอี้ไม่พอนั่ง เมื่อคนหนึ่งลุกก็จะมีคนนั่งต่อทันที แม้ค่าครองชีพจะแพง แต่ราคาอาหารที่นี่สามารถตรึงให้ย่อมเยาไว้ได้ เพราะค่าเช่าไม่สูง อีกทั้งเจ้าของพื้นที่คือ ทีโอทีกำหนดราคาเพื่อช่วยเหลือพนักงาน
“วันหนึ่งๆ ขายได้เป็นจำนวนมากและขายดี ก็ถือว่าคุ้ม ขายได้ตกราวๆ 1 หมื่นบาท/วัน หักรายจ่ายแล้วเหลือ 5 พัน ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ดีมากๆ” อุบลรัตน์ เล่า นอกจากลูกค้าจะเป็นพนักงานทีโอทีแล้ว ยังมีคนละแวกใกล้เคียงหรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่พักโรงแรมแถวราชดำริแวะมาชิมอาหารรสชาติอร่อยและราคาไม่แพง ทั้งยังมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติอร่อย แถมสถานที่ยังอยู่กลางใจเมือง เดินทางสะดวก นอกจากข้าวแกงที่อร่อยทุกร้านแล้ว ยังมีร้านหมูย่างล็อกที่ 21 ที่รสชาติของน้ำตกหมูของร้านนี้เป็นที่เลื่องชื่อและเป็นเมนูเด็ดที่ใครมาที่นี่ก็ต้องแวะมาชิม
โรงอาหาร TOT สาขาเพลินจิต เปิดตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า ปิดเวลาบ่ายสองโมง ขายวันจันทร์ถึงศุกร์ ปิดเสาร์และอาทิตย์
อิ่มท้องสบายกระเป๋า ที่นี่... สีลม
อีกหนึ่งแหล่งอาหารอิ่มท้องสบายกระเป๋าอยู่ที่ย่านสีลม เริ่มต้นตั้งแต่ร้านส้มตำพัฒนพงษ์ ปากซอยพัฒนพงษ์ ในช่วงพักเที่ยงนั้นโต๊ะเต็มทุกโต๊ะ ร้านนี้ขายอาหารอีสานทุกชนิด ราคากลางๆ ถูกสุดเริ่มตั้งแต่ 50 บาท ที่แพงหน่อยก็มีปลาเผาซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 200 ปลายๆ จุดเด่นของร้านนี้คือทำเลดี นอกจากนี้ข้างร้านยังพ่วงด้วยร้านไก่ย่างบางบาล ซึ่งเข้ากันดีกับส้มตำ และร้านขายผลไม้สดพร้อมรับประทานไว้ล้างปากหลังมื้ออิ่มอร่อย
ข้ามมาอีกฝั่งในซอยคอนแวนต์ มีร้านข้าวและก๋วยเตี๋ยวตั้งอยู่ริมฟุตปาททั้งสองฝั่ง นอกจากนั้นยังมีซอยตรงข้ามโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ระหว่างอาคารกมลสุโกศล กับอาคารยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นซอยเล็กๆ ที่ผู้คนคับคั่ง มองผ่านๆ แทบไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นแหล่งอาหารขนาดใหญ่ของชาวออฟฟิศย่านสีลม ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่า ตลาด 108-1009 นอกจากอาหารแล้วที่นี่ยังมีสินค้าอื่นๆ ขายด้วย ถ้าเดินเข้าไปจากต้นซอย ฝั่งซ้ายมือจะเป็นอาหารมากหน้าหลายตาที่สะดวกสำหรับการซื้อใส่ห่อกลับไปกิน ทั้งปิ้งย่าง ของทอด น้ำพริกปลาทู ฯลฯ ลึกเข้าไปในสุด นี่แหละเหมือนแหล่งสวรรค์ยามเที่ยง มีอาหารให้เลือกนานาชนิด ทั้งข้าว ก๋วยเตี๋ยว ในราคาย่อมเยา รับรองว่า อิ่มได้ในราคามื้อละเพียง 50-60 บาท อิ่มเสร็จแล้วก่อนเดินออกสะดุดตากับร้านแกงเห็ดแกงเลียง เพราะเห็นสาวๆ ออฟฟิศยืนออต่อคิวซื้อกันเยอะดี ร้านนี้ขายเฉพาะแกงเลียงอย่างเดียว โดยลูกค้าสามารถเลือกชี้เอาผักหลายชนิดที่จะให้แม่ค้าเอาไปเลียงได้ตามใจชอบ สนนราคาถุงละเพียง 40 บาท เหมาะกับคนดูแลสุขภาพ เห็นขายง่ายๆ อย่างนี้ไม่ธรรมดา เพราะขายมากว่า 7-8 ปีแล้ว
“เพิ่งทำงานมาราวสองปี ถึงจะเป็นย่านสีลม แต่เรื่องอาหารการกินก็ถือว่าไม่แพงนะ ถ้าเลือกถูกที่ อย่างในละลายทรัพย์ก็ไม่แพงนะ ประมาณ 40 บาท”ไชยธัช อมาตยกุล พนักงานออฟฟิศในอาคารบุญมิตรแนะนำ
ถัดไปคือ ซอยพิพัฒน์ ด้านหลังธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ มีฟู้ดคอร์ทอยู่ใน ดิ โอเอซิส พลาซ่า ข้างในเป็นอาหารข้าวแกงทั่วไป แต่ที่น่าจะเป็นทีเด็ดกว่าคือ ในซอยนอกฟู้ดคอร์ท ที่มีร้านเจ้าอร่อยอย่างก๋วยเตี๋ยวต้มยำ และอีกแหล่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับย่านสีลมอยู่ข้างธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ก็คือ ซอยละลายทรัพย์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการช็อปปิ้ง แต่ก็มีโซนอาหารไว้ให้ฝากท้องเหมือนกัน หากเข้าซอยไปไม่ลึกมาก ด้านขวามือเป็นร้านขายอาหารทั่วไป มีเจ้าอร่อยเป็นข้าวแกงรสเด็ด ซึ่งทำให้มนุษย์ออฟฟิศย่านสีลมอิ่มท้องแบบสบายกระเป๋าได้เสมอ
ถูกและดีมีในห้างกลางเมือง
ไม่บ่อยนักที่คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ จะได้กินของถูก อร่อย ในห้างสรรพสินค้ากลางเมือง เพราะส่วนใหญ่ ไม่ว่าห้างไหนแค่กินพออิ่มมื้อหนึ่งก็ต้องควักจ่ายเป็นร้อย ยิ่งถ้าไปกันหลายคนรวมๆ กันกินอาหารเหลายังดีเสียกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนสุขุมวิท เพลินจิต ไปจนถึงราชประสงค์ ศูนย์กลางของห้างหรูของเมืองไทย เมนูอาหารจานเดียวบนห้างส่วนใหญ่แพงระยับทั้งนั้น
แต่อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะยังมีห้างที่มีของกินราคาถูก เหมาะแก่การใช้ชีวิตในยามเศรษฐกิจขัดสนให้ได้พอฝากท้องได้บ้าง หากใครผ่านไปสุขุมวิทตัดถนนอโศกมนตรี คงรู้จักห้างใหญ่ชื่อเทอร์มินอล 21 ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าอโศก(บีทีเอส) และสถานีรถไฟฟ้าสุขุมวิท(เอ็มอาร์ที) บนชั้น 5 ของห้างมีฟู้ดคอร์ท ที่ชื่อ Pier 21 Bangkok Food Court ที่นั่นคือแหล่งรวมอาหารอร่อยในราคาไม่แพงเป็นที่พึ่งพิงของคนทำงานในย่านนั้น และผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา
ฟู้ด คอร์ท ที่นี่ดังในระดับที่ CNN ของนำเสนอข่าวห้างของกินราคาถูกในย่านกลางเมืองมาแล้ว เช่นเดียวกับโลกออนไลน์ ที่ต้องมีชื่อของ Pier 21 ติดอันดับของกินราคาถูกที่หาได้ไม่ง่ายๆ ในย่านกลางเมือง ประหนึ่งเป็นหม้อข้าว หม้อแกง ที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในย่านนั้นกันเลยทีเดียว
จุดเริ่มต้นของความถูก เกิดจากคนที่ชื่อ อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่คุ้นชื่ออย่าง บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ต้องการขยายธุรกิจจากการสร้างบ้านมาสู่ธุรกิจค้าปลีก หลังจากได้ที่ดินผืนงามตรงบริเวณแยกอโศกตัดถนนสุขุมวิทมาอยู่ในความครอบครอง เขาสำรวจตลาดไปทั่วบริเวณถนนสุขุมวิท ไปจนถึงสยาม มาบุญครอง พบว่า มีห้างใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในย่านนั้น ร้อนระอุทะลุปรอท แต่สิ่งหนึ่งที่เขามองเห็นคือ แทบจะไม่มีห้างที่ตอบสนองต่อคนชั้นกลางอย่างแท้จริง ถ้าทำได้ก็สามารถอยู่รอดได้
โจทย์ที่ต้องตีให้แตกคือ ทำอย่างไรถึงจะเป็นห้างของคนชั้นกลาง ทำอย่างไรคนชั้นกลางจะเดินเข้าห้างที่ตั้งชื่อว่า เทอร์มินัล 21 ได้ อนันต์เห็นว่า เรื่องปากเรื่องท้องสำหรับคนชั้นกลางเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งเป็นคนทำงานกลางเมืองค่ากินค่าอยู่ในเมืองในแต่ละวันสูงลิ่ว ถ้าสามารถขายอาหารดีๆ ได้ในราคาถูกๆ ก็น่าจะเอาชนะใจคนชั้นกลางที่ทำงานในเมืองและสามารถดึงคนเข้าห้างได้
อนันต์ ลงทุนติดต่อร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมาร่วมโปรเจกต์ใหญ่ เงื่อนไขมีอยู่ว่า ร้านมาขายอย่างเดียว ค่าที่ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ในการกิน ทางห้างจัดให้ ถึงกระนั้นหลายๆ ร้าน ก็ไม่อยากจะมา จนถึงขนาดต้องตามตื้ออ้อนวอนกันหลายรอบถึงจะยอมใจอ่อน โดยอนันต์ขอกำหนดราคาว่า แต่ละจานต้องถูก 30-40 บาท ก็กินได้หนึ่งอิ่ม งานนี้ อนันต์ยอมเสียในสิ่งที่ควรจะได้นั่นคือค่าเช่าที่ในฟู้ดคอร์ท รวมถึงยอมจ่ายต้นทุนค่าบริการต่างๆ ในฟู้ดคอร์ท รวมๆ กันแล้วเงินหายไปจากกระเป๋าปีละราวๆ 20 ล้านบาท แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง
เพียร์ 21 ตอบโจทย์คนชั้นกลางที่ทำงานในเมืองได้อย่างตรงเป้า ทำให้กลายเป็นแหล่งกินราคาถูกใจกลางเมืองที่มีผู้คนใช้บริการอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะช่วงเวลาพีกอย่างช่วงเที่ยงละช่วงเย็นที่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอยู่นานกว่าจะได้ที่นั่งกิน ที่สำคัญ ถือเป็นฟู้ดคอร์ทที่ปิดให้บริการตามเวลาห้างคือสี่ทุ่มเปะไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่อนันต์ขอ และอำนวยความสะดวกให้ร้านทุกร้านต้องปิดสี่ทุ่ม
ความสำเร็จของฟู้ดคอร์ท เพียร์ 21 ขจรขจายไปทั่ว จนสื่อต่างประเทศหลายสำนักถึงกับมาทำสกู๊ปไปเผยแพร่ อนันต์ เคยบอกว่า เขายอมเสีย 20 ล้านบาท/ปีกับฟู้ดคอร์ท แต่ไม่ต้องควักเงินโฆษณาห้างปีละหลายร้อยล้านบาทเลย ห้างเทอร์มินอล 21 ก็สามารถประสบผลสำเร็จได้ด้วยการมีเพียร์ 21 แหล่งของกิน อร่อย ราคาถูกเป็นแม่เหล็กดึงคนเข้าห้างได้อย่างมากมาย
ร้านส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่หลายๆ คนรู้จักกันอยู่แล้ว เช่น ธงชัย ต้มยำ นู้ดเดิ้ล ที่ราคาอาหารเริ่มต้นที่ 28 บาท ก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูนุ่มไข่แดงราคาสูงสุดที่ 42 บาท กวยจั๊บสามทุ่มเริ่มต้น 25 บาท เกาเหลากวยจั๊บน้ำข้น 33 บาท ร้านสุกี้โบราณ(ไท้เฮง) ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่/หมู 25 บาทสุกี้น้ำไก่/หมู เริ่มต้น 33 บาท สุกี้น้ำรวมมิตร 40 บาท ขาหมูนครปฐม ข้าวขาหมูเพิ่มไข่ เริ่มต้นที่ 37 บาท ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับรังสิต ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 25 บาท ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหมู/เนื้อ 35 บาท Sweet n sour ไอศกรีมมะพร้าว 28 บาท ปฐมโอชา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ข้าวหมูกรอบสมุนไพรจีน 28 บาท ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นสมุนไพรจีน 32 บาท เป็นต้น
เพราะอาหารถูกและดียัง(พอ)มีอยู่ในกรุงเทพฯ หากเลือกเป็นเลือกได้หรือเลือกถูก แม้จะมีเงินแบงก์ร้อยติดตัวใบเดียว ร้านอาหารในย่านเหล่านี้จะทำให้ทุกคนอิ่ม อร่อย แถมยังมีเงินทอนกลับมาด้วยอีกต่างหาก