posttoday

โลกดิสโทเปียในหนัง

15 กันยายน 2558

ว่างๆ ในวันหยุดก็เปิดโทรทัศน์ช่องภาพยนตร์ฮิตทิ้งไว้เป็นเพื่อน

โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง

ว่างๆ ในวันหยุดก็เปิดโทรทัศน์ช่องภาพยนตร์ฮิตทิ้งไว้เป็นเพื่อน แล้วจึงได้ข้อสังเกตว่า หนังดังหลายๆ เรื่องที่นำมาฉายในช่องนั้นเป็นหนังแนวที่เรียกว่า “ดิสโทเปีย” หรือ “ดิสโทเปียน” แทบทั้งนั้น ไล่เรียงมาตั้งแต่ The Hunger Games, The Maze Runner, Divergent, The Giver ฯลฯ แล้วจึงได้ข้อสังเกต (อีกข้อ) ว่า หนังแนวทางนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปีหลังๆ โดยมีวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก

ดิสโทเปียนฟิล์มนั้นมีมานานแล้ว แต่ว่าช่วงปีหลังๆ ก็กลับมาเป็นกระแสนิยมอีกครั้งกับ The Hunger Games ตามมาด้วยหนังยอดนิยมอีกมากมาย

ดิสโทเปีย (Dystopia) หรือบางทีเรียกว่า Anti-Utopia คือ สังคมในจินตนาการหรือสถานที่อันเลวร้าย ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมหรือการปกครองที่ถูกควบคุมทางสังคมอย่างโหดร้ายและรุนแรง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความสมบูรณ์ดีงามสุขสบายแบบยูโทเปีย สังคมดิสโทเปียถูกนำเสนอในวรรณกรรมก่อนจะถ่ายทอดออกมาเป็นหนังดิสโทเปียหรือดิสโทเปียน ซึ่งด้วยสไตล์ของหนังทำให้ถูกจัดเป็นแนวแอ็กชั่น ไซ-ไฟ ทริลเลอร์ ฯลฯ แยกย่อยไปอีก

โลกดิสโทเปียในหนัง

 

วรรณกรรมที่นำเสนอเรื่องราวดิสโทเปียนั้นเริ่มมีตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1890 แล้ว อย่างที่เห็นในงานของ เอช.จี. เวลส์, เรย์ แบรดบิวรี หรือจอร์จ ออร์เวลล์ เช่นเดียวกับหนังดิสโทเปียนหลายเรื่องขึ้นชั้นคลาสสิกเก่าแก่ที่สุดน่าจะเป็น Metropolis (ปี 1927) นอกจากนั้นก็มีงานของปรมาจารย์ ฟรองซัวส์ ทรุฟโฟต์ เรื่อง Fahrenheit 451 (ปี 1966) ผลงานสุดยอดผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริค เรื่อง A Clockwork Orange (ปี 1971) งานของ ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Blade Runner (ปี 1982) รวมทั้ง Brazil (ปี 1985) Demolition Man (ปี 1993) Waterworld (ปี 1995) Twelve Monkeys (ปี 1995) Gattaca (ปี 1997) The Matrix (ปี 1999) Minority Report (ปี 2002) Children of Men (ปี 2006) เป็นต้น

ในช่วงปีหลังๆ ถ้าพูดถึงดิสโทเปียนฟิล์มก็ต้อง The Hunger Games ซึ่งเป็นหนังชุดที่ทำให้ “แคตนิสส์” ที่อยู่ภายในตัวตนของคนดูให้ปรากฏ ทุกคนต้องการจะเชี่ยวชาญเรื่องยิงธนู มีคุณธรรม และแข็งแกร่ง การต่อสู้กับระบบชั่วร้ายโดยมีกลุ่มผู้ติดตามที่กล้าหาญอยู่ข้างตัวเรา เป็นหนังที่หลายคนอินจึงดูซ้ำแล้วซ้ำอีก

โลกดิสโทเปียในหนัง

ด้วยความนิยมในหนังดิสโทเปียนทำให้ปี 2015 นี้ มีหลายเรื่องออกมาให้ชมแล้วและบางเรื่องรอฉาย ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ก็มี Insurgent (ภาคต่อของ Divergent), Mad Max : Fury Road, Terminator : Genisys ฯลฯ ออกมาให้ได้ดู และรอช่วงปลายปี ราวๆ เดือน พ.ย. The Hunger Games : Mockingjay-Part 2 ก็มีกำหนดฉายและในวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.ย. นี้ Maze Runner : The Scorch Trials โดยผู้กำกับ ทีมสร้างและนักแสดงชุดเดิมจาก The Maze Runner หนังยอดนิยมปี 2014 ก็จะกลับมา หนังเรื่องนี้จะฉายในระบบ 4DX ที่มีเอฟเฟกต์เก้าอี้สั่น ละอองน้ำ ลมพัด ฯลฯ ให้ได้รับรู้และสัมผัส และว่ากันว่า ภาค 3 คือ Maze Runner The Death Cure ก็อยู่ระหว่างการสร้างเตรียมฉายในปี 2017

ตอนท้ายของหนัง The Maze Runner ทิ้งท้ายไว้ว่าการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่รออยู่ ภาคนี้ Maze Runner : The Scorch Trials เริ่มต้นเรื่องหลังจากที่ชาวทุ่งได้หนีออกมาจากเขาวงกตได้ ก่อนถูกนำตัวไปยังด่านทดสอบใหม่คือ สมรภูมิมอดไหม้ ซึ่งโหดร้าย รุนแรง และยากที่จะรอด โดยมีใครบางคนครอบงำ บังคับ และกำหนด ตามธีมของหนังดิสโทเปียน

ถึงตรงนี้ก็มีคำถามว่า ทำไมคนดูถึงรักหนังดิสโทเปียนกันนัก คำตอบก็คือ หนังกลุ่มนี้ให้ความตื่นตาตื่นใจได้ใช้จินตนาการ นอกจากความบันเทิงแล้ววรรณกรรมหรือภาพยนตร์ดิสโทเปียนนั้นยังถูกสร้างออกมาเพื่อให้สติหรือเตือนสติกับคนดู ทั้งยังฉายภาพความเป็นไปได้ของอนาคต ทำให้คนรับมือกับความกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ในอีกทางหนึ่งด้วย

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์