posttoday

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่5

11 กรกฎาคม 2553

ในบรรดาพระบรมราชินีและเจ้าจอม 77 พระองค์/คน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั้น เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เป็นเจ้าจอมคนสุดท้าย

ในบรรดาพระบรมราชินีและเจ้าจอม 77 พระองค์/คน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั้น เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เป็นเจ้าจอมคนสุดท้าย

โดย...ตาแหลม

ในบรรดาพระบรมราชินีและเจ้าจอม 77 พระองค์/คน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั้น เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เป็นเจ้าจอมคนสุดท้าย

แม้จะเป็นคนสุดท้าย แต่คุณงามความดีมีศีลธรรมไม่ได้หายไปจากความทรงจำของชาวไทย ท่านดำเนินชีวิตหลังจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 สวรรคตแล้วอย่างมีเกียรติและน่าภาคภูมิใจยิ่ง แม้ว่าขณะนั้นจะยังอยู่ในวัยสาว

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่5 ร.5พระราชทานเกียรติยศให้นั่งพระเก้าอี้ทองตราแผ่นดิน

คุณความดีและเกียรติยศชื่อเสียง เจ้าจอมปรากฏในหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลา อิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 24 ธ.ค. 2526 ซึ่งผู้เขียนขออัญเชิญมาไว้ ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ซึ่งกราบถวายบังคมลาถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2526 ว่าเป็นเจ้าจอมซึ่งสมเด็จพระบรมไอยกาธิราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตามาก เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับเองก็มีความซื่อตรงจงรักภักดีต่อเบื้องพระยุคลบาท แม้สมเด็จพระบรมไอยกาธิราชจะเสด็จสวรรคตเมื่อเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับยังมีอายุน้อย เจ้าจอม หม่อมราชวงศ์สดับก็ได้วางตัวในทางที่ถูกที่ควร ยึดพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องประคองกายประคองใจให้บริสุทธิ์ ทั้งยังได้อุทิศผลบุญอันเกิดแต่การปฏิบัติธรรมทุกระดับน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อเบื้องพระยุคล บาทสมเด็จพระบรมไอยกาธิราชตลอดชีวิต

ในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระนวมินทราธิราช บรมราชวงศ์ทุกพระองค์ เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับก็มีความจงรักภักดี เป็นที่ตระหนักในพระราชหฤทัยอยู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับการศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานโดยลำดับมา

บัดนี้ถึงคราวที่จะได้พระราชทานเพลิงศพ อันเป็นอวสานแห่งการพระราชกุศล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับขึ้น พระราชทาน เป็นที่ระลึก เพื่อชื่อเสียงเกียรติคุณของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับจะได้ยังปรากฏอยู่ ไม่สูญสลายไปตามสังขาร    

พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันเสาร์ที่ 24 ธ.ค. 2526

เมื่อศึกษาประวัติเจ้าจอมที่เขียนไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพเล่มนี้ ก็จะเห็นอัจฉริยภาพหลายด้านของเจ้าจอม เช่นเป็นผู้มีรูปสมบัติ เสียงไพเราะ มีคุณสมบัติเป็นผู้ทรงคุณธรรม รักเดียวใจเดียว มีสติ และมีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคอง จิตใจ เสมอแม้ในยามทุกข์ โศกเศร้าหรือว้าเหว่ มีทรัพย์สมบัติซึ่งมิใช่ทรัพย์ธรรมดา หากแต่เป็นอริยทรัพย์

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่5 เจ้าจอมสวมชุดเครื่องเพชรพระราชทานถ่าย พ.ศ.2450

ส่วนทรัพย์สมบัติของนอกกาย เช่นเพชรที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ก็ได้ส่งคืนให้กับสมเด็จพระพันปีหลวง แล้วหันมาปฏิบัติธรรม ยึดเอาธรรมะหรืออริยทรัพย์เป็นเครื่องประคองตัว นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติที่พิเศษ คือความเป็นนักเขียน นักกลอน มีผลงานมากมาย

เพราะมีคุณสมบัติเหล่านี้จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า เจ้าจอมคนสุดท้ายนี้จึงเป็นที่สนิทสิเน่หาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยิ่งนัก จะเห็นได้ว่านอกจากพระราชทานเครื่องเพชรแล้ว เมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งหลังสุด ยังมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าจอมคนนี้ทุกสัปดาห์ จนกระทั่งเสด็จกลับ โดยฉบับแรกทรงพระราชทานจากปากน้ำเพียงห่างกันไม่ถึงวัน

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มี.ค. 2433 ตรงกับแรม 11 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ณ วังกรมหมื่นภูมินทรภักดี ต.ปากคลองตลาด เขตพระราชวัง กรุงเทพมหานคร (วังท่าเตียน) ชื่อที่ท่านพ่อและหม่อมแม่เรียกเมื่อเยาว์วัย คือ “สั้น” เป็นธิดาคนเดียวของหม่อมมารดา แต่มีพี่น้องร่วมบิดาอีก 13 คน

เมื่อเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจริญวัยได้ 11 ขวบ หม่อมเจ้าเพิ่ม (บิดา) ได้ทรงลาออกจากราชการ ในตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เนื่องจากได้ทรงรับหม่อมห่วง ธิดานายอากรเป็นหม่อม ถ้าจะยังอยู่ในราชการก็เกรงจะมีผู้ครหานินทาว่าอาจใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้ออำนวยผลประโยชน์แก่พ่อตาได้ ทั้งยังทรงดำริจะยกครอบครัวไปประทับ ณ เมืองราชบุรีด้วย

เจ้าจอมมารดาจีน ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี ไม่อยากให้หม่อมเจ้าเพิ่ม พา “หลานสั้น” ไปอยู่หัวเมือง จึงได้ทูลพระวิมาดาเธอฯ ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็นพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสาย|วลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ว่าบุตรีหม่อมช้อย หน้าตาดียังไม่ได้โกนจุก ขอให้รับเข้ามาอยู่ในวังเสีย พระวิมาดาเธอฯ ก็ทรงขอต่อหม่อมเจ้าเพิ่ม เมื่อหม่อมเจ้าเพิ่มยอมถวายแล้ว หม่อมราชวงศ์สั้นจึงเข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังกับพระวิมาดาเธอฯ แต่บัดนั้นมา

เมื่อเข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังได้สักหน่อย สมเด็จหญิงพระองค์ใหญ่ (เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์) พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ ได้ประทานนามใหม่ว่า “สดับ”
หม่อมราชวงศ์สดับ ได้รับพระอุปถัมภ์บำรุงอยู่ในตำหนักพระวิมาดาเธอฯ เยี่ยงพระญาติ โปรดให้เรียนหนังสือจากครู ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันมาสอนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และฝึกหัดงานฝีมือรวมทั้งกับข้าวคาวหวาน และเพราะเป็นคนคล่องแคล่วทะมัดทะแมง จึงเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายทุกพระองค์ มีหน้าที่ตามเสด็จพระวิมาดาเธอฯ ในกระบวนเสด็จทุกงาน จนเจริญวัยขึ้นเป็นกุลสตรีที่นอกจากจะมีรูปสมบัติแล้ว ยังมีน้ำเสียงไพเราะมาก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้พระวิมาดาเธอฯ ทรงตั้งวงมโหรี ครูมโหรีก็เลือกหม่อมราชวงศ์สดับเป็นต้นเสียง

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่5 กำไลพระราชทานที่เจ้าจอมใส่จนกระทั่งถึงอสัญกรรม

พระวิมาดาเธอฯ นั้นทรงมีพระอัชฌาศัยรอบคอบ เกรงจะถูกครหานินทาว่าส่งเสริมหลานก็ไม่สู้จะสบายพระทัยนัก แต่ครูทุกคนยืนยันขอประทานหม่อมราชวงศ์สดับเป็นต้นเสียงก็ต้องยอม การอยู่ในวงมโหรีในฐานะต้นเสียง เป็นโอกาสให้หม่อมราชวงศ์สดับได้รับพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงออกพระโอษฐ์ขอต่อพระวิมาดาเธอฯ ผู้เป็นอาและเป็นผู้ปกครองในขณะนั้น พระวิมาดาเธอฯ ไม่ทรงตัดสินพระทัยเอง ได้ทูลต่อไปยังหม่อมเจ้าเพิ่มผู้เป็นบิดา เมื่อไม่ทรงขัดข้อง จึงทำพิธีถวายดอกไม้ธูปเทียนเป็นการถวายตัว เมื่อวันตรุษ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2448 โดยมีคุณท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 4) เป็นผู้นำถวายและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2449

สิ่งที่เจ้าจอมประดับไว้จนชีวิตหาไม่ คือ กำไลมาศ ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นกำไลทองคำแท้จากบางสะพาน หนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้กัน ปลายตาปูเป็นดอกเดียวกัน มีตัวอักษรซึ่งเป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สลักไว้บริเวณด้านบนของกำไลว่า

กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นย่อมยืนสี

เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที  จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย

ตาปูทองสองดอกตอกสลัก  ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย

แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย  เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับได้บันทึกเหตุการณ์ตอนรับพระราชทานไว้ว่า งานขึ้นพระที่นั่งอัมพร ทรงเป็นโต้โผเล่นละครเรื่องเงาะป่า เก็บเงินคนดูเพื่อพระราชทานเป็นทุนให้คนัง

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่5 เข็มกลัดพระราชทาน

งานนี้ต้องเตรียมซ้อมละครกันหลายวัน ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยมาก วันงานท่าน (พระวิมาดาเธอฯ) ประชวรพระยอดพระชงฆ์เสด็จไม่ได้ ข้าพเจ้าถูกเป็นแม่งานแทนท่านหลายอย่าง ยังคอย ระวังรับใช้ล้นเกล้าฯ ในเรื่องตั้งเครื่อง เพราะว่าเสด็จเป็นเจ้าของละครอยู่ภายในโรงละครตลอดเวลา จึงมีข้าพเจ้าวิ่งเต้นอยู่คนเดียว พระสนมกำนัลอื่นถูกเกณฑ์เป็นผู้ดูละครเก็บเงินหมด

ถึงบทข้าพเจ้าร้องก็ต้องไปนั่งร้องประจำโรง ร้องเสร็จก็อยู่ที่ล้นเกล้าฯ ซึ่งประทับอยู่ที่นั่น ละครเลิกเสด็จขึ้นแล้วก็เป็นหน้าที่ข้าพเจ้าเฝ้า ตามเสด็จขึ้นไปรับใช้บนพระที่นั่ง

ในวันเฉลิมพระที่นั่งนี้ ทรงพระกรุณาสวมกำไลทองรูปตาปูพระราชทานแก่ข้าพเจ้า ทรงสวมโดยไม่มีเครื่องมือ บีบด้วยพระหัตถ์ รุ่งขึ้นจึงต้องรับสั่งให้กรมหลวงสรรพศาสตร์พาช่างทองแกรเลิต ฝรั่งชาติเยอรมัน นำเครื่องมือมาบีบให้เรียบร้อย

ตลอดชีวิตของท่าน เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมิได้ถอดออกจากข้อมือเลย จวบจนชีวิตท่านหาไม่แล้ว หม่อมหลวงพูนแสง สูตะบุตร ผู้เป็นหลานสาวจึงเป็นผู้ที่ถอดออกให้ และได้ถวาย “กำไลมาศ” แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับนั้นเอง

ข่าวล่าสุด

เปิดภาพคุมตัว "น.ส.ลัก" สอบเข้ม ปมบังคับลูกสาววัย 12 ค้ากามญี่ปุ่น