อะเพโรล ส้มสดใสในวันสุข
เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยสัญชาติอิตาเลียน อะเพโรล (Aperol) ที่ทำจากบิทเทอร์ส้ม สีม่วงจากธรรมชาติ รูบาร์บ สมุนไพรซิงโคนา
โดย...คาเอรุ
เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยสัญชาติอิตาเลียน อะเพโรล (Aperol) ที่ทำจากบิทเทอร์ส้ม สีม่วงจากธรรมชาติ รูบาร์บ สมุนไพรซิงโคนา (ที่เปลือกใช้ทำยาควินิน) และส่วนผสมอื่นๆ อีกมากมาย โดยผู้ที่คิดค้นคือ บริษัท บาร์เบรี ในเมืองปาดัว ประเทศอิตาลี ตั้งแต่ปี 1919 ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนไปผลิตโดยบริษัท กัมปารี แทน
อะเพโรล เริ่มการผลิตตั้งแต่ปี 1919 หากไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการขายเลย กระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแม้ว่าจะมีรสชาติและกลิ่นใกล้เคียงกับกัมปารี (Campari) บิทเทอร์อีกชนิดของอิตาลีมาก ทว่า อะเพโรลมีแอลกอฮอล์อยู่ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ในส่วนผสม ขณะที่มีปริมาณน้ำตาลเท่ากัน แต่อะเพโรลมีรสชาติที่นุ่มกว่า และขมน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบที่ตัวสีสัน อะเพโรลมีสีอ่อนกว่ากัมปารี คือออกเป็นสีส้มๆ ไม่แดงจัดเท่า
ถ้าพูดถึงอะเพโรล ก็ต้องพูดถึง สปริตซ์(Spritz) ค็อกเทลที่อาศัยอะเพโรลเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่ง Spritz มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า การสาดกระเด็นของน้ำ หรือบางทีก็เรียกว่า Spritz Veneziano หรือเรียกแค่ Veneziano ในอิตาลี เนื่องเพราะมีส่วนผสมของสปาร์กลิงไวน์ของอิตาลีอย่างโปรเซกโกอยู่ในค็อกเทลด้วย โดยนิยมเสิร์ฟทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ที่เป็นแหล่งผลิตโปรเซกโกนั่นเอง
สปริตซ์มักจะเสิร์ฟมาในแก้วแบบโอลด์แฟชั่น (Lowball Glass) แต่ปัจจุบันก็เริ่มนิยมเสิร์ฟในแก้วไวน์ และบางทีก็แก้วมาร์ตินี โดยตกแต่งแก้วด้วยชิ้นส้ม
ค็อกเทลชนิดนี้เกิดขึ้นในเวนิส ตั้งแต่สมัยที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลียังคงอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรออสโตร-ฮังการี ในนามของแคว้นเวเนโต ราวทศวรรษที่ 1800 ทว่าในช่วงนั้นทำจากออสเตรียนสปริตเซอร์ ไวน์ขาว และน้ำโซดา ก่อนจะมาแทนที่ด้วยอะเพโรลและโปรเซกโกในภายหลัง
ในช่วงนั้นเมืองท่าอย่างเวนิสเต็มไปด้วยทหารออสเตรียและพ่อค้า บรรดาพ่อค้าพยายามจะขายไวน์ให้ทหาร แต่พวกเขาไม่คุ้นเคยกับไวน์ ทำให้พ่อค้าหัวใสนำเอานู่นนี่นั่นมาผสมกับไวน์เพื่อให้ขายได้ ครั้นพอเป็นสูตรนี้ทำให้พวกเขานึกถึงไวน์จากบ้านเกิดในแคว้นวาเคา
ส่วนผสมของสปริตซ์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลา จนตำรับดั้งเดิมไม่รู้ว่าที่แท้จริงเป็นยังไงแล้ว หรือแม้ว่าในปัจจุบันสูตรที่คนนิยมอย่างอะเพโรล 3 ส่วน โปรเซกโก 2 ส่วน น้ำส้มเล็กน้อย ทั้งหมดเทลงบนน้ำแข็ง และท็อปด้วยโซดา ก็ยังเปลี่ยนไปในทุกครั้งที่แต่ละคนผสมตามรสนิยมความชอบ


