ธุรกิจเงินล้าน ของเน็ตไอดอล กลอย ประวีวรรณ สิงห์โต
ในตลาดเครื่องสำอางของประเทศไทยมีการแข่งขันสูงอย่างน่าตกใจ เพราะไม่เพียงแต่แบรนด์ใหญ่จะแข่งกันเองแล้ว
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
ในตลาดเครื่องสำอางของประเทศไทยมีการแข่งขันสูงอย่างน่าตกใจ เพราะไม่เพียงแต่แบรนด์ใหญ่จะแข่งกันเองแล้ว ยังมีแบรนด์ใหม่ของคนไทยตีตลาดกลางถึงล่าง และแบรนด์จีนที่ตีตลาดล่างถึงล่างมากๆ ขนเข้ามากันเป็นกองทัพ ชนิดที่เรียกได้ว่าต้องพบเจอในทุกที่ทั้งศูนย์การค้า ตลาดสด ไม่พ้นแม้กระทั่งร้านขายก๋วยเตี๋ยวต่างจังหวัดก็ยังมิวายเอาเครื่องสำอางใส่ตู้กระจกวางขาย
ที่น่าสนใจก็คือการที่เด็กสาวชั้น ม.5 คนหนึ่งเกิดอยากมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองขึ้นมา เพียงเพราะความชอบในเรื่องความสวยความงาม จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันไม่เคยกล้าทำมาก่อน ด้วยการสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาให้เป็นความจริง และก็ประสบความสำเร็จในระดับที่พี่ๆ ต้องปรบมือให้ เธอชื่อน้องกลอย ประวีวรรณ สิงห์โต ซึ่งปัจจุบันเธอกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม สาขาวิทยุและโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 2
เริ่มต้นจากความชอบ
“เราเป็นคนที่เรียกหนังสือไม่เก่ง เล่นกีฬาก็ไม่เก่ง แต่มีความชอบอย่างหนึ่งก็คือชอบเรื่องความสวยความงาม เคยฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง จนวันหนึ่งตอนเรียนอยู่ชั้น ม.5 เกิดความคิดว่าทำไมเราไม่ลองทำดูละ จากนั้นก็เข้าอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลโรงงานที่รับผลิต แล้วโทรไปสอบถามพูดคุยกันในทันที
แรกๆ เราพูดคุยกันเรื่องสูตรครีมและการพัฒนาสูตรครีมบำรุงผิว ซึ่งทางโรงงานก็ดีกับเรามากให้ความรู้และคำแนะนำกับเราทุกอย่าง ซึ่งเราก็กลับมาคิดต่อว่าเราจะทำอย่างไรกับครีมของเราให้มีจุดเด่นขึ้นมา จากนั้นเราก็ตอบกลับไปกับทางโรงงานให้ผลิตสูตรอย่างที่เราต้องการให้คุณแม่พาไปจดทะเบียน อย. เพราะเราอายุยังไม่ถึง
สินค้าล็อตแรกเราเปิดเป็นพรีออร์เดอร์ เพราะเรายังไม่รู้เรื่องการสต๊อกสินค้า และไม่รู้ว่าสินค้าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากน้อยแค่ไหน แต่หลังจากเปิดขายสินค้าชุดแรกก็มียอดสั่งซื้อเข้ามาเยอะมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรีวิวสินค้าจากลูกค้าที่ซื้อไปใช้ก็ยิ่งทำให้คนรู้จักสินค้าเรามากขึ้น
อีกส่วนหนึ่งมาจากแฟนคลับที่ติดตาม ผลงานของเราผ่านอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นเราก็ขายมาเรื่อยๆ ตอนนั้นคิดว่าได้กำไรแค่หลักพันเราก็พอใจแล้ว แต่พอทำไปทำมาก็เริ่มเป็นหลักหมื่น แล้วหนึ่งปีต่อมาก็เริ่มแตะเป็นหลักแสน จนถึงวันนี้หนูไม่เคยของเงินแม่อีกเลย”
ปัญหาธุรกิจของเด็กวัยเรียน
กลอย เล่าต่อว่า ปัญหาที่พบในการทำธุรกิจของตัวเองในช่วงแรก ก็คือเรื่องของการแพ็กของ ทุกวันหลังเลิกเรียนต้องกลับมานั่งทำการบ้านส่งคุณครูเสร็จแล้ว ต้องแพ็กของให้ส่งลูกค้าทุกคนในตอนเช้าของวันถัดมา ทำให้เราไม่มีเวลาพักผ่อน รายได้ดีแต่สุขภาพจัดว่าแย่มาก จึงเปลี่ยนมาเป็นรอบจัดส่งประจำสัปดาห์ รับออร์เดอร์ลูกค้าทุกคนแล้วบอกกับเขาว่าเราจะมีรอบจัดส่งสินค้าทุกวันจันทร์ ดังนั้น วันเสาร์-อาทิตย์ ก็มานั่งแพ็กของให้เสร็จแล้ววันจันทร์ก็ไปส่ง ทำแบบนี้ทำให้เราจัดสรรเวลาได้ดีขึ้น ในขณะที่ผลการเรียนและเวลาส่วนตัวก็เริ่มกลับมา
หลังจากนั้นไม่นานนั้นก็เริ่มออกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองอีก 12 ชนิด ตั้งแต่สบู่ไปจนถึงครีมกันแดด ครอบคลุมสายผลิตภัณฑ์ แต่ขายไปได้สักระยะก็กลับมาเหลือเพียง 2 ตัว ที่ติดตลาดและเป็นที่ยอมรับมากที่สุด
ยิ่งช่วงไหนที่ยอดขายตกก็ต้องหาวิธีดูว่าในตลาดเจ้าไหนทำโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายอย่างไรบ้าง สำหรับแบรนด์ของเราใช้วิธีการทำรีวิวสินค้าจากเน็ตไอดอลคนอื่นๆ หรือบางทีก็มีคนรีวิวสินค้าของเราก็ทำให้ยอดขายกลับมาดีขึ้น ซึ่งการรีวิวสินค้าเป็นวิธีที่ได้ผลมากในการขายสินค้าบนโลกออนไลน์
ธุรกิจที่เติบโตไปตามวัย
หลังจากประสบความสำเร็จจากแบรนด์แรก กลอยก็เริ่มวางแผนการในการออกแบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยศรีปทุม ครั้งนี้เธอตั้งเป้าสินค้าที่ดีกว่าเดิม รวมทั้งระบบการทำงานที่เป็นมืออาชีพด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมากับแบรนด์ “สวีท บาร์บี้”
“แบรนด์นี้เราตั้งเป้าให้เป็นแบรนด์ระดับสูงขึ้นมาจากแบรนด์เดิมที่เราเคยทำ สูตรครีมต่างๆ เราก็ต้องคิดขึ้นมาใหม่ ให้ดีกว่าเดิมและเป็นตัวใหม่ที่ยังไม่มีในท้องตลาด เพราะตลาดเครื่องสำอางที่ขายในอินเทอร์เน็ตนั้นมีการแข่งขันสูง
ครีมออกมาใหม่ก็ต้องคิดใหม่ให้มีความแตกต่าง หลังจากคิดสูตรทดลองใช้มาสักระยะหนึ่ง จึงออกใหม่ที่เป็นตัวสกัดสเต็มเซลล์องุ่นแดงมาเป็นตัวผสมใหม่ในสินค้า แต่ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นราคาเราก็ต้องปรับตามวางขายไปที่กระปุกละ 990 บาท
แรกๆ ก็หวั่นใจเหมือนกันว่าครีมจะขายออกไหม แต่ปรากฏว่าผลตอบรับกลับมาดีเกินคาด เพราะคนใช้แล้วดีมีการรีวิวบอกกันปากต่อปากก็ช่วยเพิ่มยอดขายขึ้นไปอีก แถมยังมีคนติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายก็ยิ่งทำให้ธุรกิจเราโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็กำลังวางแผนออกสินค้าแบรนด์ใหม่อีก 2-3 แบรนด์ สำหรับขายในประเทศและต่างประเทศ”
สิ่งที่ได้จากการทำธุรกิจนี้
“สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากที่เราทำธุรกิจตรงนี้ก็คือ การได้รับการยอมรับจากทุกคนในครอบครัว จากเด็กเรียนไม่เก่งดูไม่มีอนาคต แต่พอมีรายได้จากการทำธุรกิจเขาก็ไม่มากังวลเรื่องเรียนของเรา เราได้ประสบการณ์จากการลงมือทำที่หาไม่ได้จากการเรียนบริหาร แรกๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะเรียนต่อด้านการบริหารแต่ใจหนึ่งเราก็มีชีวิตอีกด้านในวงการบันเทิงในฐานะคนทำงานเบื้องหลัง จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านนิเทศศาสตร์และปริญญาโทอาจจะเลือกเรียนด้านบริหารธุรกิจอีกที
ที่สำคัญคือความสุขที่เราได้จากการค้นพบตัวเอง ทำแล้วมีความสุข สนุก เริ่มจากสิ่งที่ชอบและกลายเป็นสิ่งที่ทำ กับการที่เราอยากจะสร้างสินค้าชิ้นหนึ่ง มันมีความสนุกที่เราต้องนั่งค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องครีมต่างๆ ส่วนผสมสารเคมี เรื่องกฎหมาย อย. เรื่องแพ็กเกจที่ออกแบบช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งที่เราไม่ได้เรียนเรื่องพวกนี้มาเลยลงสนามแล้วลุยทันที
เรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง เหมือนที่คุณแม่ท่านอยากให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองลองผิดลองถูกแล้วประสบการณ์จะบอกกับเราเองว่าเราควรทำอะไร ไม่ใช่เพียงแค่มีความคิดเพราะสำคัญกว่านั้นคือการลงมือทำ”


