posttoday

ได้เวลาเปิดใจ จา พนม

01 เมษายน 2558

เรื่องวุ่นๆ ระหว่าง “จา พนม-ทัชชกร ยีรัมย์” หรือ “โทนี่ จา” กับค่ายใบโพธิ์ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” จะจบลงท่าไหน

โดย...แจนยูอารี  ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

เรื่องวุ่นๆ ระหว่าง “จา พนม-ทัชชกร ยีรัมย์” หรือ “โทนี่ จา” กับค่ายใบโพธิ์ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” จะจบลงท่าไหน เขาจะต้องจ่ายค่าเสียหาย 1,600 ล้านบาท ตามที่คู่กรณีฟ้องร้องฐานผิดสัญญาหรือไม่ เราไม่รู้ แต่เรารู้แค่ว่าระหว่างเรากับจาไม่มีปัญหาใดๆ ต่อกัน ทุกอย่างยังไปได้สวย เพราะวันนี้เรามีนัดกับเขา

ณ ห้องรับรองส่วนตัวในโรงแรมหรูกลางกรุง จานั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ สีหน้าเขาสดใส รอยยิ้มผุดมาจากมุมปาก รู้เลยว่าเขากำลังมีความสุข และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ผมว่าชีวิตผมตอนนี้มีความสุขดีนะครับ มีความสุขที่ผมมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักและชอบ การได้เป็นนักแสดงไทยในหนังฮอลลีวู้ดถือว่าเป็นความสุขหนึ่งที่ผมได้รับ”

จายอมรับว่า การได้เล่น Fast Furious 7 ทำให้เขาได้รับโอกาสดีๆ มีงานแสดงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด เรียกว่าอานิสงส์ที่ต่อยอดมาจากผลงานฟอร์มยักษ์ก็ไม่ผิด ล่าสุดคือภาพยนตร์ไทยสไตล์ฮอลลีวู้ด “คู่ซัดอันตราย” (เอส ซี อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส /กำกับโดย เอกชัย เอื้อครองธรรม) ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยและพร้อมจะลงโรงฉายปลายเดือน เม.ย.นี้

“ก็มีติดต่อเข้ามาหลายเรื่องนะครับ กำลังดูบทอยู่ครับ ว่ามันจะเหมาะกับผมมั๊ย ซึ่งทุกอย่างมันต้องผ่านขั้นตอนและการดูแลโดยเอเยนซีต่างประเทศที่ผมอยู่ในสังกัด งานทุกอย่างผมต้องทำให้ถูกระบบและอยู่ในระบบครับ”

ได้เวลาเปิดใจ จา พนม

 

แล้วถ้าสหมงคลฟิล์ม เทียบเชิญให้จาไปเล่นภาพยนตร์ของค่ายล่ะ จะยอมไปเล่นด้วยหรือไม่ จาหัวเราะร่วน ก่อนเขาจะบอกว่าให้คุยกับทางเอเยนซี

“ผมต้องบอกว่าต้องทำให้เป็นระบบครับ ถ้าทำไม่เป็นระบบมันก็จะยุ่งยาก ก็จะไม่ถูกต้องตามที่วางไว้ อย่างที่ผมไปทำงานกับฮอลลีวู้ด ถึงได้รู้เลยว่าเขาทำงานเป็นระบบมากๆ เขาจัดสรรเวลาเป๊ะๆ นั่นก็เพราะว่าเขาวางแผนดี ทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้นตอนและมีระบบที่จัดการให้พร้อม ถึงจะมีการแก้ไข หรือมีข้อผิดพลาด ก็มีน้อย”

กับการมารับบทเด่นในภาพยนตร์ไทยสไตล์ฮอลลีวู้ด จาย้ำว่าไม่ได้อัพค่าตัว ทุกอย่างล้วนผ่านเอเยนซีและเป็นไปตามระบบ แต่ที่รับแสดงเพราะคาแรกเตอร์ต่างไปจากเดิม เป็นมากกว่าการขายแอ็กชั่นบู๊เดนตาย และเป็นมากกว่าการโชว์ศิลปะการต่อสู้แบบไทยๆ ทว่าหนังยังเพิ่มลีลาแอ็กชั่นที่มีความเป็นสากล โดยเขารับบทเป็นตำรวจไทยที่ร่วมมือกับตำรวจอเมริกัน เพื่อล้มขบวนการค้ามนุษย์

“เรื่องนี้ค่อนข้างพลิกครับ ไม่ใช่แค่บท แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ สไตล์การต่อสู้ก็ยังคงความเป็นโทนี่ จา แต่มีความเป็นสากลมากขึ้น คู่ต่อสู้จะเป็นฝรั่งหมดเลยครับ ดีกรีการต่อสู้จะออกแนวมาร์เชียลอาร์ต ทักษะการต่อสู้นี่ผมก็ต้องไปฝึกเพิ่มครับ ยิ่งการมารับบทตำรวจผมก็ต้องไปเข้าคอร์สฝึกอย่างเข้มข้นเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมจริงและน่าสนใจ”

ไม่ว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ภาคต่อ จะได้ฉายหรือไม่ได้ฉายในประเทศไทย ไหนๆ จาก็นั่งอยู่ตรงหน้า เราก็เลยไม่ลืมที่จะขอถามไถ่ถึงผลงานเรื่องนี้ที่เขาร่วมแสดง

ได้เวลาเปิดใจ จา พนม

 

“Fast Furious 7 จะมีความเป็นโปรเฟสชั่นนัลสูงครับ มาตรฐานของทุกคนและทุกอย่างก็จะเป็นโปรเฟสชั่นนัล ทีมงานเบื้องหลัง ทีมนักแสดง การทำงานเป็นไปตามระบบเป็นขั้นตอน แม้ผมจะเป็นคนไทย แต่ก็เป็นคนไทยที่ต้องมีความเป็นโปรเฟสชั่นนัลสูง ซึ่งผมเองก็ต้องโชว์ศักยภาพความเป็นคนไทยให้ฝรั่งได้เห็นเหมือนกัน”

บทบาทที่จาได้รับใน Fast Furious 7 เป็นยังไง และที่ทุกคนอยากรู้ (จนตัวสั่น) คือจาจะโผล่มากี่นาที จายิ้มกว้าง ก่อนจะหัวเราะร่วนและบอกติดตลก

“เขาให้เกียรติผมครับ ผมก็เลยได้รับบทคนเอเชีย ชื่อ “เกียรติ” (หัวเราะร่วน) เป็นตัวละครที่มีพลังมากๆ ผมเชื่อว่าทุกคนพอเข้าไปดูแล้วจะรู้สึก โอ้โห!! ผมเล่าต่อไม่ได้ละครับ (หัวเราะ) ต้องรอไปดูกันเองครับ เดี๋ยวจะหมดสนุกซะเปล่าๆ แล้วผมก็เชื่อว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนกับการตัดสินใจไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดของผมครั้งนี้”

ได้ไปเล่นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดสมใจ ก็ถือเป็นการโกอินเตอร์เต็มตัว ก้าวต่อไปของนักแสดงวัย 39 บนเส้นทางภาพยนตร์คงต้องจับตากันดูยาวๆ 

“ชีวิตคนเราไม่มีวันช้าครับ (ยิ้มกรุ้มกริ่ม) ถ้าคิดว่าช้ามันก็ช้า แต่สำหรับผมอายุเท่านี้ไม่มีคำว่าช้า อย่างการได้ร่วมแสดงใน Fast Furious 7 ผมคือเด็กนักเรียนนะครับ ผมใส่ชุดนักเรียนแบกกระเป๋าเป้ไปโรงเรียน ไปเรียนรู้ศาสตร์วิชาที่ผมอยากเรียนรู้ จบออกมาก็ได้วิชวลใหม่ๆ ทำไมเขาทรงพลัง ทำไมเขายังยืนหยัดที่จะเป็นนักแสดง ทำไมเขาจัดการชีวิตได้ลงตัว ทำไมเขามีความสุขกับบทเดิมๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ผมได้จากการไปโรงเรียน Fast Furious 7 

ผมยังไม่ละทิ้งการเป็นนักสู้หรอกครับ ก็ยังจะเป็นนักแสดงแอ็กชั่นในแบบของผม เพราะผมเกิดจากแอ็กชั่น แต่คำว่าแอ็กชั่นในอนาคตของผมคงจะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมล่ะ อาจจะต้องมีเรื่องราว หรือคาแรกเตอร์ มีอะไรใหม่ๆ และน่าสนใจมากขึ้น มันต้องมากกว่าการชกต่อย เหมือนเป็นการแตกไลน์คาแรกเตอร์ ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งนี่ละคือก้าวที่ท้าทายของผมครับ”

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี