posttoday

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

30 พฤศจิกายน 2557

หลังจากทีมชาติไทยในยุคที่ ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เข้ามาคุมทีมชาติชุดใหญ่ก็เหมือนฟอร์มจะดีวันดีคืน

หลังจากทีมชาติไทยในยุคที่ ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เข้ามาคุมทีมชาติชุดใหญ่ก็เหมือนฟอร์มจะดีวันดีคืน พอที่จะเรียกความหวังและกู้ศรัทธาทีมชาติไทยของเราได้บ้าง แม้ไทยเราจะไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก แต่หากย้อนประวัติศาสตร์ฟุตบอลทีมชาติไทยเมื่อ 100 ปีก่อน เชื่อหรือไม่ว่าทีมชาติไทยเราเคยชนะทีมชาติอังกฤษ ถ้าไม่เชื่อก็ต้องเดินทางมาที่พระตำหนักทับแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม

หากใครไม่เคยเดินทางมาเที่ยวที่พระราชวังสนามจันทร์ หรือคนที่เคยเยี่ยมเยือนมานานกว่า 10 ปี เราอยากให้ลองเดินทางกลับมาอีกสักครั้ง เพราะที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สถานที่ดูสวยงามกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะพระตำหนักทับแก้วได้รับการปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชกรณียกิจด้านการส่งเสริมกีฬาฟุตบอลในสยามประเทศ ด้วยการจัดตั้งทีมฟุตบอลทีมชาติเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2458 หรือเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมาพอดิบพอดี

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

หลายคนตั้งคำถามว่าแล้วทำไมถึงต้องเป็นที่พระตำหนักทับแก้ว นั่นก็เพราะที่นี่คือสถานที่ที่ใช้ในการประชุมวางแผนการเล่นฟุตบอลและฝึกซ้อมของทีมชาติไทยชุดแรกของประเทศ ทางสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย จึงขอกับทางสำนักพระราชวังใช้สถานที่แห่งนี้ดำเนินการจัดแสดงเป็น “พิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม”เมื่อประมาณปี 2550 ณ พระตำหนักทับแก้ว เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่โปรดให้คณะกรรมการฟุตบอลถ้วยทองของหลวงในสมัยนั้น ขึ้นเป็น “กรรมการคณะฟุตบอลแห่งสยาม” เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2458 เพื่อทำการคัดเลือกนักเลงฟุตบอลสำหรับการแข่งขันระหว่างชาติเฉพาะกิจขึ้นมา

จากนั้นในวันเสาร์ที่ 20 พ.ย. 2458 ณ สนามสามัคยาจารย์สมาคม ภายในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “ตราพระมหามงกุฎ” ให้แก่นักเลงฟุตบอลทีมชาติสยาม (ในสมัยนั้นนิยมเรียกนักเตะว่านักเลงฟุตบอล) เพื่อเป็นเกียรติยศการรักชาติ ในการลงแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศที่จะเกิดจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

ย้อนกลับมาที่พระตำหนักทับแก้วกัน พระตำหนักแห่งนี้เป็นตึก 2 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานสุนทรถวาย มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตเช่นพระตำหนักอื่นๆ สร้างอย่างเรียบง่ายตามแบบบ้านตะวันตก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประทับในช่วงฤดูหนาว

บริเวณชั้นล่างที่เคยเป็นที่ทรงงานและใช้เป็นที่ประชุมกองเสือป่า ก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลยุคใหม่ตั้งแต่ราวๆ ปี 2500 เป็นต้นมา ภายในมีถ้วยรางวัล เสื้อทีมชาติไทยในแต่ละยุค บอร์ดที่เล่าถึงความเป็นมาทีมชาติไทย และความภูมิใจในความสำเร็จที่ผ่านมา

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

ยอมรับว่าห้องจัดแสดงส่วนล่างค่อนข้างคับแคบไปสักหน่อย เพราะอัดแน่นไปด้วยชุดนักเตะ โปสเตอร์การแข่งขัน สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่แฟนฟุตบอลทีมชาติไทยต้องค่อยๆ ดูไปทีละชิ้น คนที่เกิดทันยุครุ่งเรืองของฟุตบอลไทยคงได้รำลึกความหลังกับบรรดานักเตะทีมชาติไทยรุ่นเก่าที่เราเคยส่งเสียงเชียร์กึกก้องสนามจนพวกเขาชนะถ้วยรางวัลมาครอง

ถัดมาคือบอร์ดที่เล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์บอลไทยตั้งแต่วันแรกที่ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) นำกีฬาฟุตบอลเข้ามาสู่สยาม และมีการเล่นฟุตบอลกันที่สโมสรรอยัลสปอร์ตคลับ ซึ่งเป็นคลับของชาวต่างชาติที่เข้ามารับราขการในแผ่นดินสยาม ซึ่งถือเป็นคลับแรกในสยามที่มีการเล่นกีฬาสากลอย่างเป็นทางการ

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

ต่อมาเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้ทรงจัดให้มีการแปลกติกาการเล่นฟุตบอลฉบับภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่นักเรียน ลงพิมพ์ในหนังสือวิทยาจารย์ ฉบับแรก ทำให้นักเรียนมีความสนใจเล่นกีฬากันอย่างกว้างขวาง ว่ากันว่า สมัยนั้นแม้เป็นช่วงพักเที่ยงที่แดดร้อน ในสนามหญ้าโรงเรียนก็ยังคงมีเด็กเล่นฟุตบอลกันเป็นจำนวนมาก ภายหลังกรมศึกษาธิการ ยังจัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน ประเภทอายุไม่เกิน 20 ปีครั้งแรกเมื่อปี 2544 โดยผู้เล่นต้องยึดคติธรรม 4 ประการ คือ ใจนักเลง สามัคคี อาจหาญ และขันติ มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 9 ทีม โดยทีมชนะเลิศคือโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ และเป็นที่มาของคำว่านักเลงฟุตบอลในกาลต่อมา

จากนั้นเดินย้อนออกมาเพื่อขึ้นบันไดไม้ไปที่ชั้น 2 ของพระตำหนัก ด้านบนเคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ สำนักพระราชวังจึงไม่อนุญาตให้มีการถ่ายภาพเช่นเดียวกับพระตำหนักอื่นๆ แต่ประชาชนสามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัย

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

ในห้องนั่งเล่นมีเตาผิงและปล่องไฟตามแบบบ้านตะวันตก เหนือเตาผิงไฟมีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 วาดด้วยเส้นดินสอดำ ดูสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์ที่หาชมได้ยาก ทางสำนักพระราชวังสันนิษฐานว่าเป็นภาพฝีพระหัตถ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ที่ทรงวาดขึ้นสมัยประชุมกองร้อยเสือป่า

ถัดมาในตู้โชว์ก็มีเสื้อผ้าที่มีลายเซ็นนักเตะระดับโลกอยู่หลายคนหนึ่งในนั้นมีลูกฟุตบอลที่มีลายเซ็นของเปเล่ ตำนานลูกหนังชาวบราซิล ซึ่งได้รับมอบจากนักข่าวสายกีฬาอาวุโสท่านหนึ่งนำมามอบให้กับทางพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาไว้

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

ถัดมาในห้องทรงงานเราจะเห็นข้าวของเครื่องใช้เก่ากับหนังสือฟุตบอลในสมัยก่อนจัดเก็บรักษาในตู้โชว์ น่าเสียดายอย่างหนึ่งก็คือชุดทีมชาติไทยชุดแรกนั้นไม่มีการเก็บรักษาเอาไว้แล้ว และถึงเก็บรักษาไว้ก็ผุพังไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลยมานานกว่า 100 ปี แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อยจากจดหมายเหตุของ พระยาประสิทธิ์ศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) สภานายกคณะฟุตบอลแห่งสยามคนแรก กล่าวถึงชุดนักเลงฟุตบอล (โดยย่นย่อ) ว่า “ในรัชสมัยพระผู้พระราชทานกำเนิดฟุตบอลสยาม ทีมชาติสยามจะสวมเสื้อแดงคาดขาว และมีตราพระมหามงกุฎ” ที่อกเสื้อด้านซ้าย สำหรับการลงแข่งขันระหว่างชาติ เครื่องหมายความสามารถฟุตบอลนี้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราพระมหามงกุฎ ซึ่งควรรู้สึกว่าเป็นเกียรติยศ การรักชาติ

ผลปรากฏว่าทีมชาติสยามครานั้นไม่เคยปราชัยแก่ชนชาวต่างชาติแม้แต่นัดเดียว สามารถชนะเลิศรายการต่างๆ เช่น ถ้วยราชกรีฑาสโมสร พ.ย. 2458 ถ้วยทองหลวง ธ.ค. 2458 โดยเฉพาะการแข่งขันฟุตบอลสำหรับถ้วยปอลลาร์ด ณ สนามราชกรีฑาสโมสร รอบสุดท้าย ระหว่างคณะฟุตบอลสยาม ชนะคณะชาวอังกฤษ ระบุว่า เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยปอลลาร์ด ให้แก่ผู้เล่นฝ่ายคณะฟุตบอลสยาม

ภายหลังเดือน ธ.ค. 2459 รัชกาลที่ 6 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ก่อตั้ง“ทีมในหลวง” ขึ้น โดยคัดบรรดานักเลงฟุตบอลรายการถ้วยทองหลวง เพื่อลงเล่นกับชาวตะวันตก สำหรับรายการที่มิใช่การแข่งขันระหว่างชาติ แยกออกจากทีมชาติต่างหากเพื่อรักษาเกียรติของทีมชาติไทยชุดหลักเอาไว้นั่นเอง

พระตำหนักทับแก้ว จุดเริ่มทีมชาติไทย

 

และยังมีข้อมูลที่หาอ่านได้ยากในพิพิธภัณฑ์ระบุว่าทางฟีฟ่าเองได้เคยเชิญทีมชาติไทยทดสอบฝีเท้าเพื่อเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ประเทศอุรุกวัย แต่ไทยได้ปฏิเสธเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมาก และนักเตะต้องใช้เวลาเดินทางแรมเดือนเพื่อเข้าแข่งขันที่ทวีปแอฟริกาใต้

แม้ว่าเวลาผ่านไป 100 ปี ทีมชาติไทยจะไม่ได้มีโอกาสแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่เกียรติภูมิของทีมชาติก็ยังคงศักดิ์ศรีและมีความหวังมากขึ้น เพราะในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาวงการฟุตบอลของไทยนั้นพัฒนาอย่างมาก อย่างน้อยๆ ตอนนี้คนไทยหลายคนก็เริ่มกลับมาเชียร์บอลไทยกันมากขึ้น และหลังจากที่เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วความรู้สึกรักชาติไทยและฟุตบอลนั้นก็เพิ่มเป็นเท่าทวี

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ