posttoday

งามพรรณ เวชชาชีวะ เขียนหนังสือ คือ ความสุข

08 พฤศจิกายน 2557

ผมเชื่อว่าอาชีพ “นักเขียน” เป็นอาชีพหนึ่งที่ใครต่อใครฝันอยากจะเป็น เพราะมันเป็นอาชีพที่ให้โอกาส

ผมเชื่อว่าอาชีพ “นักเขียน” เป็นอาชีพหนึ่งที่ใครต่อใครฝันอยากจะเป็น เพราะมันเป็นอาชีพที่ให้โอกาสเราได้แสดงออกในสิ่งที่เราเห็น เราคิด เรารู้สึก เราเชื่อ เราฝันเราหวัง แล้วถ่ายทอดมันออกมาเป็นตัวหนังสือ “เจน-งามพรรณ เวชชาชีวะ” คือหนึ่งในนั้น เธอฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่กว่าความฝันจะกลายเป็นความจริงได้ ก็ผ่านกาลเวลามาเสียเนิ่นนาน

จาก “ความสุขของกะทิ” ในวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ผู้หญิงเก่งคนนี้ มีผลงานการเขียนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ฟ้าสีทอง” หรือผลงานแปลต่างๆ มากมาย รวมทั้งผลงานแปลเล่มใหม่ล่าสุดของเธอ “ฝันติดปีกของผลิใบ” และ “รักเร้นที่เกิร์นซีย์” ที่จัดพิมพ์โดย สนพ.โพสต์บุ๊กส์ ซึ่งกำลังได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง

วันนี้สุภาพสตรีท่านนี้ได้เปิดบ้านรับลม ณ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต้อนรับผม เพื่อร่วมพูดคุยและให้ข้อคิดแรงบันดาลใจอันสำคัญ แก่นักฝันที่ฝันอยากเป็นนักเขียนให้มีไฟฝันอันจะนำไปสู่การเป็นนักเขียนสมความมุ่งมั่นตั้งใจในท้ายที่สุด

“ความสุขที่สุดของเจนคือการเขียนหนังสือ เจนมักเริ่มต้นเขียนจากความคิดที่ว่าเราจะเขียนเรื่องอะไร เรามีวัตถุดิบนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน อะไรคือแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับเรา พอเริ่มลงมือเขียน ก็มักมีเวลามาเป็นตัวกำหนด ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการหาข้อมูล และเวลาในการลงมือเขียนอย่างเวลาที่เจนได้เขียนหนังสือ ในหัวเจนจะมีแต่เรื่องราวที่เจนกำลังเขียน เวลาเขียนทิ้งไว้ เจนต้องคอยหล่อเลี้ยงเรื่องราวในหัวไม่ให้มันหายไป ถ้าหายไปคงลำบาก เจนเลยพยายามนั่งเขียนตรงที่เดิม เวลาเดิม เพื่อทำให้เรามีความต่อเนื่องในการเขียนได้”

งามพรรณเผยอย่างอารมณ์ดีว่า วันไหนเธอเขียนอะไรไม่ออก ความกลัวเขียนไม่ทันมักเกิดขึ้นตามมา นี่จึงเป็นเหมือนอีกหนึ่งเวลาที่เป็นตัวกำหนดให้เธอต้องลุยเขียนต่อไป “บางทีก็ต้องมีเพื่อนนักเขียนมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวให้แก่กันบ้าง ก็จะเป็นทางดี”

สำหรับคนที่ฝันอยากเป็นนักเขียน อยากมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งการเขียนหนังสือ งามพรรณได้แนะนำว่า ควรจะเป็นนักอ่านหนังสือด้วยเช่นเดียวกัน “เจนเชื่อว่าการอ่านหนังสือช่วยในเรื่องการเขียนได้จริงๆ มันเป็นการสร้างโลกอีกโลกให้เราคุ้นเคยในวิธีการเล่าเรื่องของนักเขียนท่านอื่นๆ ได้ ไม่มีนักเขียนคนไหนที่ไม่เป็นนักอ่าน อันนี้กล้าพนันได้ เวลาเรามีความฝันอยากเป็นนักเขียน แสดงว่าเราไปอ่านหนังสือของใครแล้วเราชื่นชอบ จนอยากเขียนให้ได้แบบนั้น”

นอกจากนี้ งามพรรณยังเผยเคล็ดลับสำคัญว่า การดูหนังฟังเพลงก็มีส่วนช่วยในการเขียนหนังสือได้เหมือนกัน “เวลาเราประทับใจในหนังสักเรื่อง มันก็มาต่อเติมความรู้สึกเดิมที่เรามีอยู่ได้ นอกจากนี้ นักเขียนควรมีดวงตาไว้คอยสังเกตสิ่งรอบตัว คอยสแกนสิ่งต่างๆเก็บไว้ เวลาเราพบเจออะไร เราสามารถตั้งคำถามและคิดต่อได้ เช่น คุณลุงคนนี้ เขาเป็นใครกันนะ ก่อนหน้านี้เขาทำอะไร หลังจากนี้เขาจะทำอะไรต่อไป อย่างตอนที่เขียนเรื่องฟ้าสีทอง เจนอยากได้ตัวละครตัวใหญ่ๆเสียงดังๆ พอเรานึกอยากสร้างตัวละครตัวนี้ ก็จะมีภาพของคุณลุงท่านนี้โผล่มาในห้วงความทรงจำ ทำให้เราจินตนาการถึงหน้าตาและบุคลิกของตัวละครตัวนั้นๆ ได้อย่างเรื่องฉากหรือสถานที่ เราก็ควรได้ไปพบไปเห็น เพื่อให้เราได้เก็บไว้ในความทรงจำ เมื่อลงมือเขียน ข้อมูลในความทรงจำจะถูกถ่ายเทออกมา”

งามพรรณ เผยว่า การอ่านยังทำให้เราได้เรื่องของอารมณ์ควบคู่ไปกับการได้เรื่องของภาษาอีกด้วย “การอ่านทำให้เราได้เห็นวิธีการเล่าเรื่อง วิธีการใช้ภาษา วิธีการวางจังหวะจะโคนในการเขียน รวมทั้งได้บทสนทนาที่ดี นักเขียนหน้าใหม่ มักไม่ค่อยมั่นใจว่าใครจะพูดกับใคร พูดอย่างไรดี ตอนเขียนความสุขของกะทิ ตัวเองก็เป็นอย่างนั้น บางบทไม่มีใครพูดกับใครเลย แต่เวลาเราเขียนไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆ มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นในการทำให้ตัวละครพูดคุยกันด้วยด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกนี้”

สิ่งสำคัญไม่แพ้กัน งามพรรณเผยว่า เวลาเขียน เราควรเลือกเขียนในสิ่งที่เรารู้ เราคุ้นเคย เราสบายใจในการเขียนมากที่สุด รวมทั้งเขียนจากประสบการณ์ตรงที่เราไปพบเจอมา ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่มีความสำคัญต่อการเขียนเป็นลำดับต้นๆ

“เจนเคยเขียนให้ตัวละครนั่งรถไฟไปสุโขทัย แต่เจนไม่เคยไปสุโขทัยมาก่อน เจนเลยต้องนั่งรถไฟไปสุโขทัย เพื่อจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้ายเจนก็ได้รู้ความจริงว่า รถไฟไม่ได้จอดที่สุโขทัย แต่ไปจอดที่พิษณุโลก ทำให้เจนต้องรีบกลับมาแก้ไขข้อมูลที่เราเขียนไป เพื่อให้เกิดความสมจริงมากที่สุด”

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การเขียนงานให้ครบเล่มแล้วส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา อาจใช้เวลายาวนาน หรือบรรณาธิการอาจไม่อ่านเลย แต่หากเราแสดงออกทางความคิดผ่านการเขียนลงในช่องทางการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น บล็อก เฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์ เมื่อมีคนตามอ่าน อาจทำให้บรรณาธิการของสำนักพิมพ์ใดสำนักพิมพ์หนึ่งสนใจงานเขียนของเรา “เมื่อมีคนตามอ่าน แสดงว่างานเขียนของเราต้องมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย บรรณาธิการท่านนั้นย่อมมั่นใจว่าเมื่อนำงานเขียนของเรามาตีพิมพ์เป็นหนังสือ ต้องมีคนซื้อไปอ่านอย่างแน่นอน แต่งานเขียนมีคุณค่าหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

งามพรรณได้ขยายความถึงคุณค่าของงานเขียนไว้ว่า งานเขียนที่มีคุณค่า ต้องเป็นงานเขียนที่มาจากความรับผิดชอบ “ไม่ว่าเราจะเขียนอะไรก็ตามแต่ เราต้องคำนึงว่างานเขียนของเราย่อมกระทบกับผู้คนในสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผู้เขียนจึงต้องมีความรับผิดชอบให้มากที่สุด นักเขียนต้องมีพันธกิจต่อสังคม นั่นคือการมอบคุณค่าให้กับคนอ่านคุณค่าวัดได้จากอะไร คุณค่าของงานเขียนวัดได้จากกาลเวลา หากหนังสือของเราตีพิมพ์และวางจำหน่ายมาได้หลายปี แล้วยังมีคนตามหาหนังสือของเรามาอ่าน หรือไม่ว่าจะตีพิมพ์กี่ครั้ง ยังมีคนคอยซื้อมาอ่าน นั่นย่อมสะท้อนได้ว่า คุณค่าของหนังสือเล่มๆ นั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและสังคมได้อย่างแท้จริง”

สำหรับคนที่ลงมือเขียนแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้คนจากสังคม หรือจากสำนักพิมพ์ งามพรรณ เผยว่า จงเชื่อในเรื่อง“ตะกร้าสร้างนักเขียน” ไว้ให้มั่น

“แม้งานเขียนของเราจะถูกปาทิ้งลงในตะกร้า ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าของเรา หรือตะกร้าของบรรณาธิการ หากเราเชื่อว่าเมื่อมันถูกที่ถูกเวลา มันก็คือถูกที่ถูกเวลา หากเรามุ่งมั่นและไม่ท้อแท้ง่ายๆ สักวัน งานเขียน
ของเราอาจเข้าตาบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ใดสำนักพิมพ์หนึ่ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งมีนักเขียนมากมายที่ผลงานเขียนของเขาเป็นไปด้วยการถูกที่ถูกเวลา แถมยอดขายยังถล่มทลายอีกด้วย เช่น เจ.เค.โรว์ลิ่ง
ที่เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ แล้วส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาถึง 7 ที่ แต่ถูกปฏิเสธทั้ง 7 ที่ จนได้รับการตอบรับว่าจะตีพิมพ์ก็สำนักพิมพ์ที่ 8 นี่แหละ เอาเป็นว่า แม้สิ่งที่เราทำจะต้องรอคอยนานแสนนานเพียงใด แต่เชื่อเถอะว่า หากเรามุ่งมั่นตั้งใจ เราจะพบเจอความสำเร็จในท้ายที่สุด”

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 17 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน