เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ยืดเยื้อ เกมลูกผสมซับซ้อนกว่าที่คาด
เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาก้าวสู่วันที่เก้า เกมรบไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อกัมพูชาใช้สงครามลูกผสม ทั้งกำลังทหาร อาวุธทันสมัย สงครามข่าวสาร และการทูต กดดันไทยรอบด้าน
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งยืดเยื้อเนื่องจากกัมพูชาใช้ยุทธวิธี "สงครามลูกผสม" ที่ผสมผสานการรบจริงเข้ากับการทูตและสงครามข้อมูลข่าวสาร ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์ไว้
- กัมพูชามีความพร้อมทางทหารมากขึ้นด้วยอาวุธที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็ใช้ปฏิบัติการข่าวสารในเวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างภาพว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำและกดดันไทย
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าทางออกต้องใช้แนวทางผสมผสาน ทั้งการทหารแบบ "รุกจำกัด" การจัดระเบียบความมั่นคงชายแดน และการทูตที่ยึดหลักความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ
สมรภูมิที่ยืดเยื้อ เกินกว่าการรบแบบเดิม
การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่เก้า สะท้อนชัดว่าความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่การรบระยะสั้น หากเป็นสถานการณ์ที่มีมิติซับซ้อน ทั้งด้านการทหาร การเมือง และการต่างประเทศ ทำให้การ “เอาชนะอย่างรวดเร็ว” เป็นเรื่องยากกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก
พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ วิเคราะห์ว่า ความยืดเยื้อเกิดจากกัมพูชาไม่ได้หยุดปฏิบัติการจริงในช่วงหยุดยิง แต่ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวฟื้นฟูกำลัง เสริมอาวุธ และปรับยุทธวิธีเข้าสู่รูปแบบ “สงครามลูกผสม” ที่ผสานการรบจริงเข้ากับการข่าวสารและการทูต
รูปแบบดังกล่าวทำให้สมรภูมิไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวชายแดน แต่ขยายไปสู่เวทีระหว่างประเทศ ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวทางทหารของไทยต้องคำนึงถึงผลสะเทือนทางการเมืองโลกควบคู่กันไป
อาวุธทันสมัย กับเกมข้อมูลข่าวสาร
ในมิติทางทหาร นายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร แอดมินเพจ ThaiArmeForce (TAF) ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ากัมพูชามีความพร้อมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการใช้อาวุธต่อต้านรถถังระยะไกล GAM 102 LR ที่มีความแม่นยำสูง และการใช้อาวุธระยะใกล้อย่าง PF89 เพื่อการตั้งรับและสกัดการเคลื่อนที่ของฝ่ายตรงข้าม
การลดลงของการยิงจรวด BM-21 ในช่วงวันที่ 8–9 ไม่ได้หมายความว่ากัมพูชาสิ้นกำลัง หากเป็นผลจากการที่กองทัพอากาศไทยโจมตีคลังอาวุธและคลังกระสุนในช่วงแรก ทำให้ฝ่ายกัมพูชาต้องจำกัดการใช้กระสุนและเลือกยิงเฉพาะเป้าหมายสำคัญ
ขณะเดียวกัน สงครามข้อมูลและการทูตกลับเป็นอีกสมรภูมิที่ไทยเผชิญแรงกดดัน กัมพูชาใช้เครือข่ายล็อบบี้ยิสต์และปฏิบัติการข่าวสาร สร้างภาพว่าตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ ส่งผลให้ท่าทีของมหาอำนาจบางประเทศดูเอนเอียงและตั้งคำถามต่อการตอบโต้ของไทย
ทางออกที่ไม่ใช่แค่กำลังทหาร
ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า การยุติภัยคุกคามอย่างยั่งยืนต้องเดินพร้อมกันสามพันธกิจ เริ่มจากการทหารแบบ “รุกจำกัด” เพื่อทำลายจุดศูนย์ดุล เช่น ฐานยิง คลังอาวุธ และศูนย์สั่งการ โดยไม่ขยายเป้าหมายเกินความจำเป็น
ควบคู่กันนั้น ต้องจัดระเบียบความมั่นคงชายแดน ทั้งการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ การจัดการการอพยพ และการดูแลพื้นที่หลังแนวรบ เพื่อลดปัจจัยเสริมที่ทำให้ความขัดแย้งปะทุซ้ำ
หัวใจสำคัญที่สุดคือมิติการต่างประเทศ ไทยต้องยึดหลักความชอบธรรม แสดงหลักฐานการป้องกันตนเองตาม
ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 การยึดมั่นในความชอบธรรม, กฎหมายระหว่างประเทศ, และหลักมนุษยธรรมถือเป็นภูมิคุ้มกันเดียวที่ไทยเหลืออยู่ เพื่อป้องกันการเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เสียเปรียบหรือถูกคว่ำบาตรในเวทีโลก
ศึกชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่เกมรบสั้น แต่คือหมากรุกหลายกระดาน ไทยได้เปรียบเชิงทหารบางส่วน ทว่าชัยชนะที่แท้จริงต้องรักษาสมดุลระหว่างกำลัง ความชอบธรรม และการทูต เพื่อไม่ให้แพ้ในเวทีโลกแม้ชนะในสนามรบ
เรียบเรียง: อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มาประกอบเนื้อหา : รายการคมชัดลึก(คลิ๊กชม)


