'รีเดล' แก้วไวน์สัญชาติออสเตรียตำนานกว่า 250 ปี
“แก้วไวน์” ที่มีชื่อเสียงและคุณภาพระดับโลกต้องมีชื่อของ “รีเดล” สัญชาติออสเตรียคุณภาพระดับโลก
“แก้วไวน์” ที่มีชื่อเสียงและคุณภาพระดับโลกต้องมีชื่อของ “รีเดล” สัญชาติออสเตรียคุณภาพระดับโลกที่มีตำนานยาวนานกว่า 250 ปี ที่พิถีพิถันในการออกแบบเพื่อบรรจุองุ่นแต่ละสายพันธุ์ แก้วไวน์ของ “รีเดล” ได้รับการออกแบบเพื่อถอดรหัสดีเอ็นเอขององุ่นแต่ละพันธุ์ โดยก่อตั้งปี ค.ศ. 1756 ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 10 ได้แก่ จอร์จ เจ รีเดล และทายาทรุ่นที่ 11 แม็กซิมิเลียน รีเดล เป็นผู้สืบทอดธุรกิจของตระกูลที่มีประวัติอันยาวนาน
ปี 1678 คือปีที่ โยฮัน คริสตอฟ รีเดล ถือกำเนิดขึ้นทางตอนเหนือของโบฮีเมียติดชายแดนเชลเซีย ซึ่งในปัจจุบันคือสาธารณรัฐเชกและโปแลนด์ตามลำดับ พื้นที่ส่วนนี้เป็นเขตแดนที่ใช้ภาษาเยอรมันที่รู้จักกันในชื่อ “ซุดเทนแลนด์” เมื่อชาวเวนิซนำศาสตร์ด้านแก้วกลับมาจากเนียร์อีสต์ราวปี ค.ศ. 1000
ปี 1701 ทายาทรุ่นที่ 2 โยฮัน คาร์ล ที่เป็นช่างปิดทองและช่างตัดแก้ว และได้เปิดร้านของตัวเองเพื่อทำเครื่องแก้ว
ปี 1726 คือการสืบทอดกิจการของทายาทรุ่นที่ 3 โยฮัน ลีโอโปล์ด รีเดล ได้สร้างฐานะขึ้นในระหว่างสงครามเจ็ดปี ระหว่างชาวออสเตรียและชาวปรัชเชียนในแถบโบฮีเมียและเชลเซีย
ปี 1756 ความต้องการบานหน้าต่างอย่างมากมาย เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเมืองและหมู่บ้านที่ถูกทำลายจากสงคราม ทำให้โยฮันเปิดโรงงานทำแก้วแห่งแรกในวันที่ 17 พ.ค. ความสำเร็จของเขาเกิดจากการคิดค้นเทคนิคแทนที่หน้าต่างกระจกสีด้วยบานหน้าต่าง
ปี 1761 ทายาทรุ่นที่ 4 แอนทอน ลีโอโปล์ด เปลี่ยนรูปแบบการผลิตของพ่ออย่างสิ้นเชิงและแทนที่การผลิตบานหน้าต่างด้วยการทำสินค้าลักซ์ชัวรี่ เช่น ชิ้นส่วนแชนเดอเลียร์และเครื่องแก้วหรูหรา
ปี 1786 ทายาทรุ่นที่ 5 ลูกชายของเขา ฟรานซ์ ซาเวอร์ เป็นช่างสลักที่มีชื่อเสียงในวัยหนุ่ม งานของเขากลายเป็นงานศิลปะที่ยังมีการประมูลกันในปัจจุบัน ต่อมาเขาได้กลายเป็นนักธุรกิจคนสำคัญที่ผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วยุโรป ความสำเร็จส่วนใหญ่ของเขามาจากการให้สีแก้วแปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการผสมยูเรเนียมเพื่อให้ได้สีเหลืองและเขียวโปร่งใสที่รู้จักกันในชื่อ “Annagelb” และ “Annagrun” ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อลูกสาวทั้งสองของเขา ฟรานซ์ ให้หลานชาย โจเซฟ รีเดล
ปี 1816 โจเซฟ รีเดล ดิ เอลเดอร์ ทายาทรุ่นที่ 6 เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างมาก การที่เขาเกิดในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้การหลอมแก้วจากเตาไม้สู่การตั้งธุรกิจในโปแลนด์
ปี 1877 เมื่อทางรถไฟสร้างเสร็จ โจเซฟสั่งถ่านมาใช้ ซึ่งประหยัดและมีประสิทธิภาพมากกว่าไม้ ทางรถไฟยังสามารถทำให้สินค้าออกมาเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โจเซฟได้ผลิตลูกปัดแก้วสี แบลงค์ หรือแก้วดิบ ที่่่ได้รับการเจียระไนขัดเงาในร้านเล็กๆ ของครอบครัว สินค้าถูกสั่งและจำหน่ายผ่านตัวแทนบริษัทมากมาย และไปไกลถึงอินเดียและอเมริกาใต้
ปี 1862-1924 ทายาทรุ่นที่ 7 โจเซฟ เดอะ ยังเกอร์ เป็นนักเคมีและนักวิศวกรรมเครื่องกลที่โดดเด่น สร้างสรรค์สีแก้วได้ถึง 600 สี อย่างน่าอัศจรรย์ ความซับซ้อนของเฉดสีแก้วที่เขาสร้างขึ้นนี้ ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง ส่งให้ธุรกิจก้าวหน้าและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เลย การพัฒนาเครื่องจักรกลใหม่ๆ ทำให้เขาเชี่ยวชาญการผลิตลูกปัดแก้วครั้งละมากๆ เขานำสายทอง เงิน และสีสันต่างๆ มาผสมในแบลงค์ ซึ่งกลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากในการผลิตแก้วสมัยนั้น
ปี 1895-1974 ทายาทรุ่นที่ 8 วอลเตอร์ รีเดล ต้องประคองธุรกิจผ่านสงคราม 2 ครั้ง ทำให้ชะตาของเขาเปลี่ยนไป เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนสัญชาติถึง 4 ครั้ง เพราะสถานการณ์ทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง และสงครามเริ่มรุนแรงมากขึ้น
ปี 1925-2004 ทายาทรุ่นที่ 9 เคลาส์ เจ รีเดล ผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ เขาเปลี่ยนแก้วมีก้านเจียระไนที่มีสี เป็นแก้วเรียบๆ ไม่แต่งเติมอะไรและเป่าให้บางลง กลายเป็นแก้วไวน์ก้านยาว ซึ่งได้รับการยอมรับในทันทีจากลูกค้าที่มีรสนิยมและพิพิธภัณฑ์ รางวัลด้านการดีไซน์มากมายพูดถึงปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นยุคใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น พิพิธภัณฑ์นำสินค้าไปเพื่อจัดแสดง เช่น MOMA ในนิวยอร์ก
ปี 1973 ทายาทรุ่นที่ 10 จอร์จ เจ รีเดล เกิดในปี 1946 เข้าร่วมบริหารธุรกิจครอบครัว ภายใต้การบริหารงานของเขา รีเดลกลายเป็นบริษัทระดับโลก
ปี 1979 จอร์จก่อตั้งเครือข่ายบริษัทในเครือที่รีเดลเป็นเจ้าของ เริ่มจาก รีเดล สหรัฐอเมริกา ตามด้วยแคนาดา เยอรมนี ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
ปี 2006 เขาก่อตั้ง รีเดล ดีเวลอปเมนต์ ที่เน้นเรื่องการผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นๆ
ปี 2013 ทายาทรุ่นที่ 11 แม็กซิมิเลียน เจ รีเดล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอและประธาน รีเดล คริสตัล ในปีเดียวกัน ที่ขึ้นมาดูแลธุรกิจครอบครัวที่มีฐานการผลิตอยู่ที่คุฟสไตน์ ออสเตรีย แม็กซิมิเลียน มีชื่อเสียงจากไลน์แก้วไวน์ “O” ที่เขาออกแบบและทำการตลาดในปี ค.ศ. 2004 ทั้งยังได้รับรางวัลมากมายจาก The Museum of Modern Art, San Francisco MoMA และ Corning Museum of Glass ทุกวันนี้นอกจากการดูแลกิจการ รีเดล คริสตัล ทั่วโลก เขายังเป็นดีไซเนอร์หลักในการออกแบบดีแคนเตอร์ของแบรนด์ แม็กซิมิเลียนสร้างความแข็งแกร่งในพันธสัญญาของรีเดลที่มีต่ออุตสาหกรรมการให้บริการด้วยการนำเสนอไลน์ Reidel Restaurant และ Restaurant Sommeliers ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าในราคาต่ำลงแต่มีความทนทานมากขึ้นเพื่อใช้ในร้านอาหารและโรงแรม ทำให้เกิดการเข้าถึง “อุปกรณ์ไวน์” ที่กว้างขวางขึ้นไปอีก จนมาถึงทายาทคนล่าสุด เลอาทิซเซีย รีเดล-รอธลิสเบอร์เกอร์ ทายาทรุ่นที่ 11 ปัจจุบันเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์และเจ้าของบริษัททนายสำหรับธุรกิจครอบครัว


