posttoday

ผู้ต้องขังหญิง ‘ล้นคุก’ จากความไม่รู้!

09 ตุลาคม 2557

เชื่อหรือไม่ว่า จากสภาวะเศรษฐกิจสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้ต้องขังหญิงที่ถูกคุมขังมากถึง 4.5 หมื่นราย

โดย...มีนา ภาพ : TIJ

เชื่อหรือไม่ว่า จากสภาวะเศรษฐกิจสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้ต้องขังหญิงที่ถูกคุมขังมากถึง 4.5 หมื่นราย แบ่งเป็นนักโทษเด็ดขาดคดียาเสพติดมากถึง 2.5 หมื่นคน หรือราว 80% และมีจำนวนมากติดอันดับที่ 4 ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความไม่รู้กฎหมายและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในขณะที่คุกถูกสร้างมามีเพื่อรองรับผู้ต้องขังหญิงรองรับได้เพียง 1.5 หมื่นคนเท่านั้น ที่สำคัญคือการออกแบบคุกไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนไหว อ่อนแอในภาวะจำเป็นของการเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกอยู่ในคุกของผู้หญิงตั้งครรภ์ จนทำให้เกิดภาวะผู้ต้องขังหญิง “ล้นคุก”

จากสถิติดังกล่าวเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจ จึงมีความจำเป็นที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่ออนุวัติ “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” หรือ Bangkok Rules หามาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ คือสร้างเวทีในการเปิดรับมุมมอง และระดมความคิดเห็นข้อเสนอแนะ และประสบการณ์ต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกันของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรมในแนวทางการดำเนินงาน มาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิงถูกนำไปใช้อย่างมีความเป็นมาตรฐาน และเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะวันนี้โทษในเมืองไทยยังไม่มีบทลงโทษระดับกลาง ผู้ทำผิดส่วนใหญ่ต้องเข้าคุกเท่านั้น หากไม่มีเงินประกัน หรือไม่มีความรู้สู้คดี

อะไรคือข้อกำหนดกรุงเทพฯ

ดร.นัทธี จิตสว่าง รองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย อธิบายเกี่ยวกับ “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” คือข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติในเรือนจำหญิง และมาตรการไม่ใช่การคุมขังในหญิง มีการจัดสัมมนาในกรุงเทพฯ เพื่อผลักดันข้อกำหนดของไทยไปสู่สหประชาชาติ จนกระทั่งสหประชาติให้การยอมรับมติและนำไปออกไปข้อกำหนดกฎหมายเพื่อให้ประเทศอื่นๆ นำไปปฏิบัติ ทำให้ผู้ต้องขังหญิงได้รับการปฏิบัติตามหลักมนุษยชน “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” เกิดจากความริเริ่มของประเทศไทยภายใต้โครงการ “Enhancing Lives of Female Inmates: ELFI” ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าในปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานการดูแลผู้ต้องขังหญิงเป็นการเฉพาะ ซึ่งสตรีเหล่านี้ควรได้รับการคุ้มครองและปฏิบัติอย่างเหมาะสมด้วยมาตรฐานที่เหมาะสมขณะอยู่ในเรือนจำ จึงได้ทรงมีพระดำริให้กระทรวงยุติธรรมยกร่างข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ต้องขังหญิง เพื่อเสนอสหประชาชาติรับรองใช้เป็นมาตรฐานในการดูแลผู้ต้องขังหญิงทั่วโลก ทั้งนี้ประเทศไทยได้ประสบปัญหาจำนวนนักโทษ “ล้นคุก” โดยเฉพาะนักโทษหญิง ข้อกำหนดกรุงเทพฯ จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการปรับมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดหญิง และหามาตรการอื่นที่หลีกเลี่ยงการคุมขังในเรือนจำ

ความจำเป็นในการใช้มาตรการ ‘ไม่ใช่การคุมขัง’

ดร.นัทธี กล่าวว่า ความจำเป็นที่ต้องออกมาตรการนี้ เพราะในความเป็นจริงน่าจะมีบทลงโทษทางเลือกสำหรับความผิดที่ไม่รุนแรง หรือไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม เช่น ติดเครื่องติดตามอิเล็กทรอนิกส์เป็นการคุมประพฤติ หรือจำคุกวันเสาร์อาทิตย์ หรือกักขังนอกคุก ซึ่งบ้านเราตอนนี้ยังไม่มีมาตรการเหล่านี้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายมารองรับ และไม่มีความชัดเจนในเรื่องแนวทางปฏิบัติ ผู้กระทำผิดหญิงจึงล้นเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคดียาเสพติดที่ผู้หญิงติดร่างแหไปกับแฟนที่เสพหรือขายยาเสพติดด้วยความไม่รู้ ด้วยความรัก หรือ ด้วยความอ่อนแอที่ต้องพึ่งพาผู้ชาย ที่สำคัญในบางกรณีผู้หญิงท้องอยู่และเป็นคนดูแลครอบครัว ถ้าต้องติดคุกไปก็กลายเป็นปัญหาเพิ่มเติมให้กับครอบครัวและสังคมซ้ำเข้าไปอีก

ดังนั้นหากมาตรการที่มิใช่การคุมขังเกิดขึ้นและมีการใช้จริง จะดีกว่ามากกับทั้งผู้กระทำผิดโดยไม่เจตนา และกับสังคมโดยรวมจึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการในกระบวนการยุติธรรม สามารถประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อให้ส่งผลได้ในระยะสั้น

“ปัจจุบันผู้หญิงทำผิดมากขึ้นจากเมื่อครั้งอดีต เราละเลยการปฏิบัติต่อเพศหญิง เพราะผู้หญิงมีลักษณะเฉพาะที่ต้องการในการคุมขังแตกต่างจากชาย เช่น มีบุตร ตั้งครรภ์ ต้องมีภาระดูแลลูก ขณะที่การปฏิบัติต้องคำนึงถึงความต่างระหว่างเพศ เช่น การตรวจค้นชายตรวจที่ประตูได้เลย แต่ผู้หญิงต้องมีสถานที่ตรวจค้นไม่ประเจิดประเจ้อ การตรวจค้นคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้ลูกมาเยี่ยมแม่ได้

ผมอยากให้มองว่าหญิงทำผิดส่วนใหญ่มักไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นการทำผิดโดยไม่รู้ บางครั้งก็เป็นผู้ถูกกระทำเพราะได้รับความกดดัน เช่น สามีทำร้าย จนทำให้ผู้หญิงต้องกระทำการรุนแรงโต้ตอบกลับสามี ซึ่งต้นเหตุแห่งความผิดบางอย่างไม่ได้เกิดจากผู้หญิงเลย หรือคดียาเสพติด บางครั้งผู้หญิงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดส่วนใหญ่เพราะผู้ชายนำพาไป หรือทำด้วยความจำใจของผู้หญิง มาตรการจำคุกสำหรับหญิงน่ามีทางเลือกอื่นๆ แทนการจำคุก”

หากมีข้อกำหนดนี้ จะทำให้ผู้หญิงทำผิดมากขึ้นหรือไม่

ดร.นัทธี ชี้แจงว่า ไม่ เพราะหากเราคำนึงถึงและพิจารณารายละเอียดในการกระทำความผิดของผู้หญิง หากทำผิดจริงจะมีการลงโทษอย่างหนักตามปกติ แต่หากในขั้นตอนศาลพิจารณาแล้วว่า ผู้หญิงทำผิดเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือก็ต้องมีการคำนึงถึงในข้อนี้ด้วย

“มีการเสนอความคิดเห็นว่า หากมีมาตรการนี้ออกมาใช้ ผู้หญิงจะตกเป็นเครื่องมือของผู้ชายในการให้กระทำผิดมากขึ้นหรือไม่ ผมไม่คิดแบบนั้น ข้อกำหนดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงได้ลดโทษ เพราะผู้หญิงก็ได้รับโทษตามสิ่งที่ทำ และรู้สึกหลาบจำอยู่แล้ว”

ในอนาคตหากใช้ข้อกำหนดนี้ได้จริง ก็จะใช้ในขั้นตอนที่ตำรวจและอัยการพิจารณาแล้วว่า ผู้หญิงทำผิดโดยไม่เจตนาหรือตกเป็นเพียงเครื่องมือ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ใช้กับทุกคดี ทั่วประเทศ ไม่เพียงคดียาเสพติดเท่านั้น

“ข้อกำหนดนี้ใช้กับผู้ต้องขังหญิงทุกกรณี ขณะนี้เรือนจำบางโรงออกแบบมาผู้ชายมีโรงเรียนฝึกอาชีพ แต่เรือนขังหญิงไม่มีการฝึกอาชีพเลย นักโทษหญิงจำคุกกันอย่างเหงาหงอย เราจึงควรมีการออกแบบเรือนจำให้ผู้หญิงได้ฝึกงาน ผู้หญิงติดคุกก็ควรได้รับโอกาสให้เหมือนนักโทษชาย จากห้องขังหญิงที่แออัดต้องขยายเพื่อรับกับจำนวนนักโทษหญิงที่เพิ่มมากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากที่แคบอยู่แล้วก็ยิ่งแคบลง ทำให้ผู้หญิงติดคุกลำบากกว่าผู้ชาย มีข้อกำหนดกรุงเทพฯ นี้หญิงชายจะได้ทัดเทียมกัน ”

ผู้ต้องขังหญิง ‘ล้นคุก’ จากความไม่รู้!

 

วิธีนำข้อกำหนดฯ ไปใช้ให้เกิดความยุติธรรมที่สุด

ข้อบังคับใช้ต่างๆ ดร.นัทธี กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมในการแก้ไขข้อกฎหมายต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา ทั้งนี้สหประชาชาติส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ ได้นำข้อกำหนดนี้ไปปฏิบัติ และสามารถทำได้จริงในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา และในบางประเทศยังมีข้อปฏิบัติที่สูงกว่า สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนยังปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน

“ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิงมีหลายข้อมาก การที่จะนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่โดยร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ กรมคุมความประพฤติ กระทรวงยุติธรรม แต่ประเทศไทยมีอุปสรรค คือ เรือนจำไทยสร้างมานานแล้ว แดนหญิงมีสภาพที่คับแคบไม่เหมาะกับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง สองคือมาตรการไม่ใช้การคุมขังยังไม่เปิดโอกาสให้หญิงไม่ใช่โทษจำคุก กล่าวคือทำอะไรผิดมากหรือน้อยก็ต้องจำคุก เราไม่มีตัวเลือกข้ออื่นๆ เลย เราต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แม้หนทางจะยาวไกล แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เรือนจำได้รับการปรับปรุงแดน ดูแลสภาพความเป็นอยู่ผู้ต้องขังหญิง จัดให้มีห้องสำหรับเด็ก ซึ่งโครงการกำลังใจของพระองค์ภา ได้ดำเนินในการผลักดันเรื่องต่างๆ เช่นกัน เรากำลังปรับปรุงให้มีเรือนจำต้นแบบที่เชียงใหม่ อุทัย อยุธยา”

แนวความคิดของ พิทยา จินาวัฒน์ รองประธานคณะทำงานการลดปริมาณผู้ต้องขังหญิง ตลอดการทำงานหลายปี ทำให้เขาเห็นถึงปัญหาผู้หญิงกับยาเสพติดดีว่า ต้องแก้ไขตรงข้อกฎหมาย โดยเฉพาะหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดที่มีบทบาทหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลเชิงนโยบาย เช่น สำนักงาน ปปส. กระทรวงยุติธรรมต้องมีการป้องกันผู้หญิงไม่ให้เข้ามาในกระบวนการค้ายาเสพติด

มาตรการที่ไม่ใช่การคุมขัง รศ.ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ กล่าวว่า เราจะแยกแยะได้อย่างไรว่าใครทำผิดจริงๆ ใครคือผู้บงการ หรือตัวเล็กๆ นอกจากจำคุกและปรับเราต้องมาดูว่ามีวิธีการอื่นๆ ให้มั่นใจว่าเราไม่ได้ปล่อยคนเลวออกไป

“บางครั้งผู้หญิงทำผิดไม่ได้เจตนาทำชั่วร้าย แต่โดนกฎหมายลงโทษรุนแรงเกินไป เช่น โทษนำเข้ายาเสพติด 1 เม็ดจำคุกตลอดชีวิต สารภาพจำคุก 25 ปีนี่คือบทลงโทษ การตีความกฎหมายจึงสำคัญมากๆ”

หากประเทศไทยสามารถใช้ข้อกำหนดกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ จะถือเป็นการยกระดับสิทธิสตรีให้เทียบเท่าอารยประเทศที่เจริญแล้ว จะทำให้ผู้หญิงไทยได้รับการปฏิบัติได้ตามสิทธิมนุษย์ชน คำนึงถึงความต่างทางเพศ ทำให้หญิงทำผิด หรือหลงผิดแก้ไขให้กลายเป็นคนดีคืนกลับสู่สังคม ถือเป็นการยกระดับการปฏิบัติต่อคนกระทำผิด

‘กำไลอิเล็กทรอนิกส์’ อีก 1 ทางเลือก

อีกหนึ่งมาตรการที่ไม่ใช่การคุมขัง คือ การใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเอ็ม ที่จะเป็นเครื่องมือที่จะนำมาช่วยในการควบคุมตัว ซึ่งเมืองไทยมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะนำเครื่องมือนี้มาใช้อย่างแพร่หลาย กรรณิการ์ แสงทอง อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ใครทำผิดถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐ

“ก่อนจับผู้หญิงเข้าคุก ด้วยผู้หญิงอ่อนด้อยไม่รู้กฎหมาย ในขั้นตอนอัยการจะส่งฟ้องหรือไม่เราควรพิจารณาดูที่ภูมิหลังของเขาเพื่อวิเคราะห์หาทางแก้ และรับรู้ว่าเขาควรได้รับการดูแลอย่างไร กระบวนการเชิงสมานฉันท์ คือ ไกลเกลี่ยในชั้นอัยการ หรือกระบวนการหาข้อเท็จจริงต้องทำร่วมไปด้วย เพื่อความมั่นใจว่าปล่อยไปแล้วผู้ยึดถือกฎหมายรู้สึกอุ่นใจ”

สำหรับหลักการใช้อีเอ็มคือ เมื่อผู้ต้องขังหญิงได้รับโทษเกิน 2 ใน 3 และเป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ก็มีสิทธิที่จะขอออกมาอยู่นอกคุก ด้วยการติดเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่าอีเอ็มเพื่อควบคุมดูแลสอดส่อง กำกับดูแลไม่ให้เขาทำผิดซ้ำอีก และเราต้องแก้ไขฟื้นฟูส่งเสริมอาชีพเพื่อพลิกฟื้นเขากลับคืนสู่สังคม เราต้องมีทรัพยากรบุคคลที่เหมาะสมเพื่อช่วยกันดูแล หากมีการใช้อีเอ็มควบคุมความประพฤติจริงๆ ตอนนี้มีความเป็นไปได้แล้ว กรมควบคุมความประพฤติพยายามทำมากกว่าการรายงานตัว เราใช้อีเอ็มภายใต้กฎหมายอยู่ โดยเราใช้กับผู้กำลังรอกำหนดโทษ จำคุกไม่เกินสามปี ซึ่งมีอยู่หลายคดี

“การจะใช้เครื่องมืออีเอ็มหรือไม่ การดูแลผู้กระทำผิดลักษณะนี้การพิเคราะห์พินิจสำคัญที่สุด แต่เมืองไทยมีปัญหาเรื่องข้อมูลถ้าศาลสั่งให้สืบเสาะพินิจการขอสำนวนจากศาล บันทึกการสอบสวน การขอตรวจประวัติการทำผิด เราทำไม่ได้ขนาดนั้นเพราะไม่ได้มีการเชื่อมโยงข้อมูล ต้องพัฒนาเทคโนโลยีส่วนบุคคลเพื่อการตรวจกรองมันทำได้ยากในแต่ละขั้นตอน เช่น ติดตามแก้ไขส่งต่อ ทุกหน้าที่ต้องหลอมรวมทำงานร่วมกัน ”

ประสบการณ์จากผู้ที่เคยติดกำไลอีเอ็ม จิ๋ม มูลทองจันทร์ วัย 47 ปี อาชีพค้าขาย ผู้เคยกระทำผิดด้านยาเสพติดโดยไม่ได้เจตนาเพราะไปกับสามีที่ซื้อเพื่อมาเสพติด เธอถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 6 เดือนในขณะที่สามีโดนจำคุก 4 ปี จากเรือนจำที่สามโคกปทุมธานีโดยเธออยู่ในนั้น 8 เดือน ก็ถูกย้ายไปขังยังเรือนจำบำบัดพิเศษหญิงธัญญบุรีที่มีการฝึกอาชีพเพื่อให้คลายเหงาบ้าง แต่สภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างแออัด โดยเฉพาะเรือนนอนมีพื้นที่เพียงพอแค่ให้นอนหงาย ขยับตัวไม่ได้ แขนต้องกอดอกเอาไว้ป้องกันไม่ให้โดนเพื่อนที่นอนข้างๆ ก็ต้องอดทน แต่เนื่องด้วยความประพฤติดีเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม เธอจึงได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ออกจากคุกเมื่อติดไปแล้ว 2 ปี 7 เดือน เหลือเวลาอีก 5 เดือนที่ต้องรับโทษ เธอจึงทำเรื่องขอพักโทษได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอกเรือนจำ โดยติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์นาน 1 เดือนเศษ ปัจจุบันเธอพ้นโทษแล้ว

“ ความรู้สึกเมื่ออยู่ในเรือนจำต้องอยู่กันอย่างแออัด เมื่อติดกำไลที่ติดข้อเท้าถือเป็นเครื่องเตือนสติให้ไม่กลับไปกระทำผิดอีก ขณะที่ติดกำไลก็ต้องไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตามกำหนดไม่ขาด ขณะติดกำไลก็ห้ามออกนอกพื้นที่ที่กำหนดเช่น ห้ามออกนอกจังหวัดปทุม ไปตลาดได้ หนูไม่เคยออกนอกตัวจังหวัดเลย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่ในคุก เพราะยังทำอาชีพและดูแลเลี้ยงดูลูกได้ หนูอยากจะเตือนคนอื่นๆ ที่กำลังคิดจะรวยทางลัด หาเงินในทางไม่สุจริต ยิ่งค้ายาอย่างไรก็ไปไม่รอด ต้องจำคุกอย่างเดียว สู้ทำงานสุจริตดีกว่า ”

ผู้ต้องขังหญิง ‘ล้นคุก’ จากความไม่รู้!

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา