หลวงพ่อวัดท่าตอนผู้ถือวิกฤตเป็นโอกาส
เบื้องหลังความยอดเยี่ยมของวัดท่าตอน อยู่ที่สมภารเจ้าวัด คือ หลวงพ่อพระราชปริยัติเมธี (สมาน หอมจันทร์) ที่ทุ่มเทและมีวิสัยทัศน์กว้าง ลึกและไกล ถือวิกฤตเป็นโอกาส
เบื้องหลังความยอดเยี่ยมของวัดท่าตอน อยู่ที่สมภารเจ้าวัด คือ หลวงพ่อพระราชปริยัติเมธี (สมาน หอมจันทร์) ที่ทุ่มเทและมีวิสัยทัศน์กว้าง ลึกและไกล ถือวิกฤตเป็นโอกาส
โดย...สมาน สุดโต
พระและฆราวาสที่มีโอกาสขึ้นไปเที่ยววัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ต่างประทับใจกับทุกบรรยากาศของวัดนี้ ที่ไม่เคยมีวัดที่ไหนจัดให้มาก่อน จึงพากันบอกปากต่อปากว่าวัดท่าตอน พระอารามหลวงแห่งนี้ยอดจริงๆ
ไปทำบุญวัดนี้มีที่เที่ยวมีที่พักให้เลือก ทั้งโรงแรมและรีสอร์ต มีปูชนียวัตถุ เช่น เจดีย์แก้ว ให้อธิษฐานและบูชา มีมูลนิธิให้สะสมบุญบารมี ขากลับหากเป็นหน้าผลไม้ เช่นช่วงนี้ถ้าคุณมีรถปิกอัพ กระบะท้ายรถจะเต็มไปด้วยผลไม้ที่หลวงพ่อฝากกลับมาแบ่งกันรับประทานที่บ้าน
เบื้องหลังความยอดเยี่ยมของวัดท่าตอน อยู่ที่สมภารเจ้าวัด คือ หลวงพ่อพระราชปริยัติเมธี (สมาน หอมจันทร์) ที่ทุ่มเทและมีวิสัยทัศน์กว้าง ลึกและไกล ถือวิกฤตเป็นโอกาส คิดในทางบวกเสมอ
แต่กว่าจะถึงวันนี้ของพระราชปริยัติเมธี (สมาน หอมจันทร์) แห่งวัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ต้องฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ท่านสามารถเอาชนะได้ เพราะถือวิกฤตเป็นโอกาส และคำพูดที่เพื่อนบอกและก้องในหูว่า ไม่เก่ง อย่ากลับ
ผมกราบและสนทนากับพระราชปริยัติเมธี เมื่อได้เดินร่วมกับพระเถระที่เป็นผู้แทนมหาเถรสมาคม ไปเยือนประเทศภูฏาน อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 6-11 พ.ค. ปี พ.ศ. 2553
เมื่อผมถามถึงความเป็นมาก่อนที่จะมีวันนี้ของวัดท่าตอน ท่านบอกว่าท่านมีวันนี้ได้เพราะความสำเร็จในการส่งเสริมการศึกษา
ตั้งแต่ท่านไปเริ่มทำงานวัดท่าตอน ซึ่งเป็นวัดบ้านนอก น้ำ-ไฟไม่มี เมื่อ พ.ศ. 2517 จนกระทั่งมีทุกอย่างถึงปัจจุบัน รวมทั้งยกฐานะเป็นพระอารามหลวง พ.ศ. 2535 เพราะประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการศึกษา พระภิกษุสามเณรที่วัดท่าตอนเรียนและสอบได้เป็นอันดับหนึ่งของ จ.เชียงใหม่ และภาค 7 และเป็นสำนักเรียนแห่งแรกของ จ.เชียงใหม่ ที่มีพระภิกษุสามเณรสอบได้เปรียญ 9 ประโยค ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของการเรียนบาลี และมิใช่แค่สอบได้เท่านั้น หากแต่สอบได้ถึง 8 รูปด้วยกัน
การที่มีพระภิกษุสามเณรเรียนและสอบได้ขนาดนี้ เพราะท่านให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดทางภาคเหนือ
ไม่ใช่แต่ส่งเสริมการศึกษาภิกษุสามเณรเท่านั้น ท่านสร้างโรงเรียนสอนวิชาชีพให้แก่ผู้ที่ต้องการเรียนเพื่อประกอบอาชีพ เช่น วิชาธุรกิจโรงแรม ช่างยนต์ และธุรกิจการเกษตร เมื่อถึงเวลาฝึกงานไม่ต้องไปฝึกที่ไหน ที่วัดมีที่ให้ฝึก เพราะมีรีสอร์ต มีโรงแรม และสวนเกษตร
เรียนจบจากที่นี่มีงานทำทุกคน หากไม่มีหลวงพ่อฝากให้ ผู้ที่เรียนจะจบไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อไม่เซ็นชื่อกำกับว่าผ่าน เป็นการรับรองคุณภาพ ท่านจึงเป็นพระเถระตัวอย่าง เป็นที่พึ่งของชาวบ้านทั่วไปไม่ใช่เฉพาะท่าตอน หากแต่ที่อื่นด้วย
บวชเณรอายุ 13 ปี
ส่วนชีวิตความเป็นมาของท่านน่าสนใจไม่น้อย ท่านจะทำแซยิด วันที่ 10 ก.ค. ปี พ.ศ. 2553 เพราะเกิด พ.ศ. 2493 เมื่อดูอายุอานามของท่านก็ต้องยอมรับว่าท่านเจริญเติบโตในสมณศักดิ์ค่อนข้างเร็ว ทั้งๆ ที่อยู่ชนบท เมื่อเทียบกับพระรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระปริยัติวิธานโกศล เมื่ออายุ 46 ปี (พ.ศ. 2539) เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชปริยัติเมธี เมื่ออายุ 54 ปี (พ.ศ. 2547)
ก่อนที่จะเป็นพระราชาคณะ ท่านไต่เต้ามาจากพระใบฎีกา และพระครูสัญญาบัตร (พระครูกิตติสาร เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นตรี) ตั้งแต่ พ.ศ.
2520 เรื่อยมาท่านเล่าเรื่องก่อนที่จะมาเป็นเจ้าอาวาส เจ้าสำนัก เรียน และผู้นำว่าท่านได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจาก โยมแม่เป็นอย่างมาก โดยท่านเล่าว่าท่านเป็นลูกชาว บ้านธรรมดา เกิดที่ อ.แม่อาย (ก่อนนั้นเป็น อ.ฝาง แล้วเปลี่ยนมาเป็นกิ่ง อ.แม่อาย และเป็น อ.แม่อาย) เมื่อเรียนจบประถมได้มาบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าตอนเมื่ออายุ 13 ปี ขณะที่อยู่วัดท่าตอนนั้น ได้ต้อนรับพระอาจารย์มหาบุญมี วัดระฆังโฆสิตาราม |ที่ไปเที่ยวที่นั่นก่อนกลับทิ้งนามบัตรไว้ให้ 1 ใบ เมื่อ
ท่านอยากมาอยู่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่ตัวเมืองเชียงใหม่ยังไม่เคยไปเห็น จึงเดินทางมาที่วัดระฆัง ได้รับเมตตาจากพระมหาบุญมีให้อยู่ด้วย และได้เล่าเรียนพระอภิธรรมที่วัดระฆัง จบอภิธรรมเอก
ผิดหวังแต่ได้กำลังใจ
เมื่ออายุครบอุปสมบทก็ตั้งใจอุปสมบทที่วัดระฆัง นั้น นิมนต์พระอุปัชฌาย์อาจารย์ และบอกญาติโยม ทางท่าตอนไว้หมดแล้ว แต่เหลือเวลาอีก 3 วัน ต้อง เปลี่ยนวัดที่จะอุปสมบทเพราะผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น บอกว่าให้อุปสมบทที่วัดระฆังไม่ได้ เพราะแรกที่เข้ามาอยู่ไม่ได้ผ่านระเบียบปฏิบัติคือการสอบเข้า จึงถือว่ายังไม่ได้สังกัดวัดนี้ แม้ว่าจะอ้อนวอนผู้มีอำนาจอย่างไรก็ไม่ฟัง แต่งานที่กำหนดไว้ต้องเดินหน้า เพราะโยมเดินทางมาจากท่าตอนแล้ว เดชะบุญหลวงพ่อวัดบางน้ำชน บุคคโล ที่รู้จักกับอาจารย์พระมหาบุญมีรับและให้มาบวชที่วัดบางน้ำชน
ท่านเล่าถึงวันที่ไปรับโยมที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อโยมมาถึงได้แต่ฝืนยิ้มทำหน้าชื่นต้อนรับท่าน พร้อมกับบอกว่าต้องย้ายวัดบวชมาที่วัดบางน้ำชน เมื่อโยมเห็นกุฏิที่จะอยู่จำวัดก็ได้แต่ร้องไห้ กุฏิเล็กค่อนข้างสกปรก พื้นกระดานก็ไม่ธรรมดาใช้ไม้ฝาโลงศพปู กระดาษหนังสือพิมพ์ปะฝา สามเณรที่อยู่ก่อนต้องย้ายออกไปแบบไม่พอใจที่ไปแย่งกุฏิอยู่
ตลอดเวลา 3-4 เดือนแรกที่อยู่วัดบางน้ำชน ท่านไม่ได้พูดกับใครเลย อาหารขบฉันก็กลืนไม่ลง ร่างกายผอมซูบซีดเห็นกระดูกไหปลาร้า เพื่อนๆ ก็ได้แต่พูดปลอบใจและให้เข้มแข็ง ซึ่งมีคำพูดคำหนึ่งของเพื่อนที่ก้องหูอยู่คือ ไม่เก่ง อย่ากลับ ท่านใช้เวลาอยู่ที่วัดบางน้ำชน 4 ปี ถึงปี พ.ศ. 2517 กลับไปที่วัดท่าตอนที่เคยบวชเณร ก็พบว่าเหลือแต่สามเณรอยู่เฝ้าวัด 2 รูป กลางคืนต้องมีญาติโยมมานอนเป็นเพื่อน เพราะเจ้าอาวาสลาสิกขาไปเสียแล้ว
ไฟสว่างที่ท่าตอน
เมื่อชาวบ้านทราบการเดินทางมาของท่าน จึงเดินทางมาพูดคุยด้วยประมาณ 10-20 คน ในคืนแรกๆ แต่คืนต่อมากลับเพิ่มมากขึ้นเป็น 40-50 คน ที่มามากเพื่อขอร้องให้ท่านมาเป็นสมภารที่วัดท่าตอน แต่ก่อนจะตกปากรับคำชาวบ้าน ท่านบอกว่าขอกลับไปกรุงเทพฯ ปรึกษาหารือและชวนเพื่อนๆ มาอยู่ด้วย ก่อน เพราะงานอย่างนี้รูปเดียวทำไม่ได้
เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ชักชวนพระที่เรียนอภิธรรม ด้วยกันไปอยู่ด้วย รวมกับตัวท่านเป็น 4 รูป ที่พระรูป อื่นตกลงไปด้วยเนื่องจากชื่อเชียงใหม่ขายได้อยู่แล้ว แต่เมื่อไปถึงบางองค์ผิดหวัง เพราะท่าตอนเป็นบ้านป่า ขึ้นกับ อ.ฝาง ยังไม่มีสถานะเป็นกิ่ง หรืออำเภอ น้ำใช้ต้องหิ้วต้องหาบ ส่วนไฟฟ้าไม่มีใช้ นอกจากตะเกียงน้ำมัน สภาพวัดและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม
ก่อนจะเข้าพรรษาปีนั้น ได้ขอให้ลูกชายมัคนายก วัดมาบวชอีก 1 คน จะได้ครบ 5 องค์เพื่อให้รับกฐินได้
ในปีนั้นทางราชการยกฐานะท่าตอนเป็นกิ่งอำเภอ มีนายสุนทร ณ สงขลา เป็นนายอำเภอคนแรก นายอำเภอเดินทางเยี่ยมวัดในเขตจนทั่วทุกวัด เมื่อมาถึงวัดท่าตอนพูดคุยกับท่านแล้ว นายอำเภอบอกว่าผมมีเพื่อนคุยแล้ว เพราะหลวงพ่อพูดภาษาภาคกลางได้ แต่พระวัดอื่นพูดแต่คำเมือง นายอำเภอจึงเป็นแขก ประจำของวัด และเป็นนายอำเภอท่านนี้เช่นกันที่ ประกาศจองกฐินในพรรษานั้น
การทอดกฐินของนายอำเภอสุนทร ณ สงขลา ปี พ.ศ. 2517 ได้ปัจจัยถวายวัด 4.6 หมื่นบาท ถือว่าเป็นจำนวนมหาศาลใน พ.ศ. นั้น ญาติโยมปรึกษากันว่าควรจะนำเงินนี้มาทำอะไร หรือสร้างอะไร ถามท่านว่าต้องการอะไร ท่านก็บอกว่าโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญมีแล้ว กุฏิที่อยู่อาศัยโทรมบ้างไม่เป็นไร ไม่ต้องสร้างใหม่ สิ่งที่ท่านอยากได้คือไฟฟ้า
เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ก็ดำเนินการให้ได้ไฟฟ้า ปรากฏว่าเสาไฟฟ้าแรงสูงเสาแรกของการไฟฟ้าฝางมาลงที่วัดท่าตอนเป็นเสาแรก ส่งผลให้วัดและชาวบ้านท่าตอนมีไฟฟ้าสว่างไสว เพราะเงินกฐิน 4.6 หมื่นบาทก้อนนั้น ท่านพูดด้วยความภูมิใจว่าไฟสว่างถือว่าเป็นผลงานชิ้นแรกของท่านที่วัดท่าตอน
กลับกรุงเทพฯ
เมื่อจะทำงานพัฒนาวัดในขั้นต่อไปก็เกิดปัญหา เพราะชาวบ้านไม่ยอมให้ทุบบันไดนาคเพื่อทำถนน จึงหิ้วย่ามลาญาติโยมว่าจะกลับกรุงเทพฯ ไปเรียนต่อ ทั้งนี้ท่านว่าการจะพัฒนาวัด หากไม่มีถนนเพื่อให้รถขนอิฐ หิน ดิน ทรายเข้ามาได้ ก็ทำไม่ได้ จากนั้นท่านก็เดินทางไปบ้านลาโยมแม่โยมพ่อ โยมแม่เมื่อทราบว่าจะกลับกรุงเทพฯ ไปเรียนต่อท่านยิ้มแสดง
ความดีอกดีใจมากๆ ท่านพูดเพิ่มเติมว่าโยมแม่เป็นกำลังใจสำคัญในการศึกษาเล่าเรียน ไม่หวั่นว่าลูกจะไปลำบากหรือไม่ ในขณะที่โยมพ่อนั้นมีความเป็นห่วงว่าลูกจะไปลำบาก
ท่านกลับมาวัดบางน้ำชน อยู่กุฏิทรงไทยหลังใหม่ที่เจ้าอาวาสให้อยู่มาก่อน เมื่อท่านไปอยู่วัดท่าตอน เจ้าอาวาสก็ไม่ได้อนุญาตให้พระรูปอื่นมาอยู่ แต่อยู่ได้ไม่กี่สัปดาห์ญาติโยมท่าตอนเหมารถบัสมารับกลับ โดยบอกว่าทุบบันไดนาคทิ้งแล้ว
ที่ได้อยู่กุฏิใหญ่และใหม่ แทนกุฏิเล็กๆ โทรมๆ เพราะเจ้าอาวาสวัดบางน้ำชนเมตตาให้อยู่กุฏิดีๆ ขึ้น เพราะท่านเป็นพระที่ไม่เคยขาดการทำวัตรเช้าเย็น ความกรุณาเจ้าอาวาสวัดบางน้ำชนยังอยู่ในความทรงจำไม่รู้คลายของท่านตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่ออยู่วัดท่าตอนความเด่นดังหลวงพ่อมีอย่างต่อเนื่อง ได้เป็นเจ้าอาวาส เมื่อพรรษาครบ 5 เป็นเจ้าคณะตำบลในขณะที่พรรษายังไม่ถึง 10 เมื่อเจ้าคณะอำเภอลาออก ท่านก็เป็นคณะอำเภอ โดยไม่เคยผ่านงานรักษาการ หรือเป็นรองมาก่อน—แต่การเป็นเจ้าคณะอำเภอครั้งนี้ถูกต่อต้านมาก เพราะพระบางรูปหมายมั่นปั้นมืออยากเป็นอยากได้ตำแหน่งนี้
เรื่องนี้ท่านแก้ปัญหาได้ในปีแรกนั้นเอง คือยิ่งด่า ยิ่งไปหาและพูดคุยด้วย เพื่อทำความเข้าใจ แถมยัง สนับสนุนให้ได้สมณศักดิ์อีกต่างหาก จนในที่สุดพระที่ ด่าและต่อต้านได้นำธูปเทียนแพมากราบขอขมาและ ปฏิญาณว่าจะขอรับใช้ตลอดชีวิต
สมเด็จเมตตา
ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่เป็นเจ้าคณะอำเภอ ท่าน สร้างผลงานไว้มาก ท่านถือว่าปัญหาที่มี ไม่ว่าที่ไหน ท่านไปแก้ถึงที่ โดยที่ผู้ที่ประสบปัญหาไม่ต้องมาหา|ที่วัด โดยท่านประชุมและแจ้งพระที่อยู่ในปกครองว่า หากมีปัญหา ไม่ต้องลงมาหาที่วัดท่าตอน แต่ให้โทรศัพท์มาบอก ท่านจะลงไปหาเอง เพราะท่านรับเลือกมาทำงานให้พวกท่าน สร้างความพอใจให้กับพระในปกครองเป็นอย่างมาก เป็นเจ้าคณะอำเภอ 10 กว่าปี เมื่อตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ว่าง ท่านก็ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนี้ เมื่อ 1 ปี
ที่ผ่านมานี่เอง
ผลงานท่านโดยเฉพาะด้านส่งเสริมการศึกษาเข้าตาพระผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แม่กองบาลีสนามหลวง พบกันหนแรก เมื่อท่านไปเยี่ยมสำนักที่สอบบาลีได้สูงสุดในเชียงใหม่คือ วัดท่าตอน ท่านถามถึงการจ่ายนิตยภัตแก่พระที่เป็นครูสอนบาลี และอาหารการกินการเป็นอยู่ของพระเณร นักศึกษา ท่านก็กราบเรียนตามความจริงว่าใช้เงินกองกลาง ใครมีความจำเป็นอะไรมาเบิกได้ เมื่อสมเด็จท่านได้ฟังดังนั้น เซ็นเช็คเงินสดมาให้ก้อนหนึ่งหลายหมื่นบาท พร้อมกับบอกว่าไม่ได้ให้ทุกปีนะ
ปรากฏว่าปีต่อมาผลงานท่านดีถูกตาต้องใจอีก แม่ กองบาลีได้เพิ่มให้เป็นแสนบาท และให้ตลอดมาทุกปี เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาทุกวันนี้ในวัดท่านวางระบบไว้ให้มีผู้รับผิดชอบ ตามๆ กันไป เจ้าอาวาสหรือตัวท่านไม่อยู่ งานการบริหารในวัดไม่เคยหยุดชะงัก หรือมีอุปสรรค
ครั้งหนึ่งได้ติดตามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ไปกิจธุระที่อื่นหลายวัน เมื่อกลับมาถึงวัด เจ้าประคุณ สมเด็จแวะไปที่สำนักงานของวัดถามเจ้าหน้าที่ว่า สมภารไม่อยู่มีปัญหาอะไรมากไหม คำตอบที่โยมเจ้าหน้าที่กราบเรียนเจ้าประคุณสมเด็จ เมื่อท่านได้ยินก็หน้าบาน เพราะโยมตอบว่าสบายมากเจ้าค่ะ
นี่คือความเป็นมาพระเถระดาวรุ่งเมืองเชียงใหม่
ที่ใช้วิกฤตเป็นโอกาส สร้างคนสร้างวัดจนอยู่ในระดับ ชั้นยอด


