ตามรอยเสด็จประพาสต้น ณ วัดทรงเสวย
หากจะพูดถึงวัดที่ จ.ชัยนาท หลายๆ ท่านคงรู้จักดีกับวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่
โดย...พงศ์ พริบไหว
หากจะพูดถึงวัดที่ จ.ชัยนาท หลายๆ ท่านคงรู้จักดีกับวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีทิวทัศน์สวยงามน่ารื่นรมย์เพราะมีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเคยเป็นวัดที่มีเกจิชื่อดังอย่าง “หลวงปู่ศุข” เป็นอดีตเจ้าอาวาสอยู่ ซึ่งท่านเองเคยเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จใน “กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา แต่หากใครผ่านไปผ่านมาชัยนาทมีอีกหนึ่งวัดที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจไม่แพ้กันตั้งอยู่ ซึ่งห่างจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาอีกสิบกว่ากิโลเมตร โดยวัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดทรงเสวย” มีที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน ในหมู่บ้านหนองแค หมู่ 1 ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
สำหรับวัดทรงเสวยอาจไม่ใช่วัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามจนน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จุดเด่นที่ทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จัก คือนักท่องเที่ยวที่มาจะได้รำลึกถึงการเสด็จประพาสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันติดปากว่า การเดินทางตามรอยเสด็จประพาสต้น ซึ่งมีที่มาที่ไปตามประวัติถึงการเสด็จครั้งนั้นว่า
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2451 (ร.ศ. 127) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินตรวจสอบลำน้ำเก่าโดยทางรถไฟถึง จ.นครสวรรค์
จากนั้นพระองค์จึงเสด็จประทับพระที่นั่งบนเรือครุฑเหินเห็จ (สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยเป็นเรือกินน้ำลึกรูปสัตว์พื้นดำที่ต้องใช้ฝีพาย 38 คน และนายท้าย 2 คน ซึ่งต่อมาได้ถูกบูรณะอยู่หลายครั้งจนถึงรัชกาลปัจจุบัน เพื่อตรวจตราแม่น้ำมะขามเฒ่า ขณะเสด็จประพาสพระองค์ประทับแรมที่วัดหัวหาด อ.มโนรมย์ ปัจจุบันเรียกวัดนี้ว่าวัดพิกุลงาม นับเป็นการเสด็จประพาสเมืองชัยนาทเป็นครั้งที่ 3
ต่อจากนั้นวันที่ 17 ต.ค. 2451 เสด็จตามลำน้ำมะขามเฒ่าผ่านตลาดวัดสิงห์ ซึ่งลำน้ำมะขามเฒ่าสมัยนั้นยังรกครึ้มและเต็มไปด้วยผักตบชวาและตอไม้ ประชาชนในละแวกนั้นจึงได้ช่วยกันตัดตอไม้และเก็บผักตบชวา จากนั้นพระองค์ประทับแรมที่หนองแค ซึ่งขึ้นกับ ต.คลองจันทร์ ปัจจุบันอยู่ในเขต ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์
ในครั้งนั้น พระอธิการคล้อย เจ้าอาวาสวัดหนองแค ได้ชักชวนราษฎรสร้างพลับพลาที่ประทับรับเสด็จ
เมื่อถึงที่พลับพลาพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์เสวยยอดหวายโปง ตาแป้นมรรค นายกวัดหนองแค จึงได้ให้ชาวบ้านไปหายอดหวายโปงมาเผาไฟ หยวกกล้วยต้ม น้ำพริกปลามัจฉะ (น้ำพริกปลาร้า) มาถวาย พระองค์เสวยอย่างเจริญพระกระยาหาร และตรัสกับชาวบ้านว่า ต่อไปนี้ให้เรียกวัดแห่งนี้ใหม่ว่าวัดเสวย แต่ชาวบ้านได้ขอพระราชทานเติมคำว่า “ทรง” เพิ่มไปด้วย พระองค์ทรงอนุญาต ต่อมาจึงเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดทรงเสวย” จนทุกวันนี้
ต่อมาภายหลังเมื่อ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช (พระโอรสที่ 75) สิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 17 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้มีการบูรณะวัดทรงเสวย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ถวายของที่ระลึกแด่พระอธิการคล้อย เป็นของที่ระลึกงานพระศพ ของที่ถวาย ได้แก่ บาตร ฝาบาตรมีตราสีทองรูปวงรี มีข้อความว่า ร.ศ. 128 งานพระศพพระเจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ปิ่นโตขนาดใหญ่ที่ฝาปิ่นโตมีข้อความเช่นเดียวกับฝาบาตร พระขรรค์ ตาลปัตรใบลาน ตะเกียงลาน เรือสำปั้น ป้านน้ำชา 1 ชุด
สิ่งของที่กล่าวมาข้างต้นปัจจุบันทางวัดทรงเสวยยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีใน “พิพิธภัณฑ์วัดทรงเสวย” ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมทุกวันพุธอาทิตย์ นอกจากนั้นภายในพิพิธภัณฑ์จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสต้นในช่วงเวลานั้นไว้มากมาย อีกทั้งยังบอกถึงความสำคัญของการประพาสต้นในครั้งนั้นไว้ว่า
การมาประพาสต้นที่ชัยนาท พระองค์ท่านทรงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถ ทั้งยังถือโอกาสสำรวจลักษณะภูมิประเทศอย่างใกล้ชิด โยเป็นการเสด็จไปอย่างเงียบๆ หากทรงพอพระทัยจะพักแวะที่ใด ก็ทรงแวะที่นั้น และตระเตรียมอาหารกันเอง ปลูกพลับพลาที่ประทับกันเอง โดยส่วนมากจะแวะตามวัดต่างๆ ทำให้การประพาสนี้พระองค์เองได้ใกล้ชิดกับราษฎร และเป็นผลทำให้ราษฎรรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
การเสด็จประพาสต้น เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน การประพาสต้นเพื่อสอดส่องทุกข์สุขของราษฎรนี้มิได้มีหมายกำหนดการ บางคราวทรงปลอมแปลงพระองค์เป็นสามัญชนเข้าไปปะปนกับราษฎร เพื่อที่จะได้ประจักษ์ในความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์อย่างใกล้ชิด ทำให้พระองค์ได้พบความจริงต่างๆ และทรงนำไปแก้ไขในทุกๆ เรื่อง เพื่อประโยชน์สุขแห่งราษฎรสยาม
โดยในบริเวณของวัดจะเห็นอุโบสถที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่อยู่กลางวัด ทางซ้ายมือจะเป็นท่าเรือซึ่งมีศาลาน้ำเพื่อเป็นที่ขึ้นลงเรือ โดยบริเวณนี้สามารถให้อาหารปลาและพักชมวิวสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนได้อย่างไม่มีอะไรบดบังสายตา บริเวณใกล้ๆ เราจะเห็น “พลับพลาไชยวิรัตน์” ที่สร้างขึ้นจำลองพลับพลาของเดิมที่ผุพังไปตามกาลเวลา โดยจุดนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัดทรงเสวยก็ว่าได้ เพราะเป็นที่ประทับแรมและเสวยพระกระยาหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยบริเวณนี้ชาวบ้านได้ร่วมใจกันสร้างรูปหล่อของพระองค์ท่านประทับไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์การระลึกถึง ให้ผู้คนที่แวะมาเยี่ยมวัดได้กราบไหว้เป็นสิริมงคลอีกด้วย ทั้งยังเป็นที่สร้างมณฑปหลวงพ่อคล้อย และพระครูวิชัยสาธุกิจ (ย้อย) ที่ชาวบ้านละแวกนี้เคารพศรัทธา นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นในวัดทรงเสวยยังคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้เยี่ยมชมอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากศรัทธาของคนในตำบล
หากใครผ่านไป จ.ชัยนาท อยากแนะนำให้ลองแวะไปวัดทรงเสวยดูสักครั้งหนึ่ง เพราะวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่จะฉายภาพประวัติศาสตร์ให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


