ยุบสภา 68 รอยต่ออำนาจกลางวิกฤต สะเทือนตลาดหุ้นไทยแค่ไหน?
ราชกิจจาฯ ประกาศยุบสภา เดินหน้าเลือกตั้งใน 45–60 วัน ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม–ชายแดน กูรูชี้กระทบบางโครงการรัฐชะงัก ตลาดหุ้นอยู่ในโหมด Wait & See ย้ำมีเลือกตั้งแน่นอน
KEY
POINTS
- ประกาศยุบสภา กำหนดให้ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569
- การเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตอุทกภัยในภาคใต้และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ
- ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่โหมด "Wait and See" เพื่อรอความชัดเจนของกำหนดการเลือกตั้ง โดยนักวิเคราะห์มองว่าตลาดได้ซึมซับข่าวดังกล่าวไปแล้ว และผลกระทบจากวิกฤตยังจำกัดในวงแคบ
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2568 อย่างเป็นทางการ ส่งสัญญาณเข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหม่ภายในกรอบเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน และไม่เกิน 60 วัน
โดยกำหนดเส้นตายที่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งคือ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2569 และตามธรรมเนียมการเลือกตั้งไทยมักจัดเป็น “วันอาทิตย์” ทำให้วันเลือกตั้งที่เป็นไปได้อาจเป๊นวันที่ 1 หรือ 8 กุมภาพันธ์ 2569
การยุบสภาท่ามกลางวิกฤตหลายด้าน ทั้งอุทกภัยภาคใต้ และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดคำถามใหญ่ต่อเสถียรภาพทางการเมือง และแรงกระเพื่อมต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจ นโยบายสาธารณะ และความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย
ในห้วงเวลานี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วง “รอยต่ออำนาจ” ที่ทุกฝ่ายต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่กำหนดการเลือกตั้ง ความสามารถของรัฐบาลรักษาการ และปัจจัยความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญ
“ธนเดช รังษีธนานนท์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.พาย แสดงความเห็นกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า หนึ่งในหมุดหมายสำคัญ คือ วันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีกำหนดเข้าพบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อหารือถึงความพร้อมและกรอบเวลาการจัดการเลือกตั้ง หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเห็นความชัดเจนว่าประเทศจะสามารถเดินหน้าเลือกตั้งได้เมื่อใด
ในกรณีที่ไม่มีข้อจำกัดด้านความไม่สงบ โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดน การเลือกตั้งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2569
อย่างไรก็ดี อำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังอยู่ที่ กกต. ซึ่งต้องประเมินว่ามีความพร้อมด้านความปลอดภัยในการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศหรือไม่
รัฐบาลรักษาการ อำนาจยังอยู่แต่ขอบเขตแคบลง
ภายหลังการยุบสภา รัฐบาลยังคงทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ตามปกติในกรอบที่กฎหมายกำหนด แต่ข้อจำกัดสำคัญคือการดำเนินนโยบายใหม่ โดยเฉพาะโครงการที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณฉุกเฉิน รัฐบาลต้องขออนุญาตจาก กกต. เป็นกรณีไป สะท้อนให้เห็นว่า ช่วงรอยต่อทางการเมืองอาจก่อให้เกิดภาวะ “สุญญากาศ“ โครงการใหม่หลายโครงการจึงถูกชะลอออกไป
หนึ่งในนั้น คือ โครงการบัญชีการออมและการลงทุนส่วนบุคคล (TISA) ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามารับหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ
ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ไม่ลุกลามเป็นปัญหาระบบ
ด้านความเสี่ยงภายนอก ปัญหาน้ำท่วมและสถานการณ์ชายแดน ประเมินว่ายังเป็นผลกระทบเฉพาะพื้นที่ และจำกัดอยู่ในบางอุตสาหกรรม ไม่ได้ขยายตัวเป็นปัญหาเชิงระบบของเศรษฐกิจไทย
ภาคส่วนที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ การท่องเที่ยวในภาคใต้ และธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชา
ในพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะกันนั้น ปัจจุบันมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างมากกว่าปัจจุบัน ก็ต้องติดตามประกาศหรือมาตรการเพิ่มเติมในอนาคตอย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้นในโหมด “Wait and See”
สำหรับตลาดหุ้นไทยอาจจะอยู่ในโหมด “wait and see” ซักระยะ จนกว่าจะมีความชัดเจนของกำหนดการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในทางสถิติ ตลาดหุ้นมักมีแรงเก็งกำไรระยะสั้นก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเม็ดเงินหมุนเวียน เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อ และกลุ่มการเงิน
หลังการเลือกตั้ง ตลาดมักเข้าสู่ช่วงพักฐาน เพื่อรอความชัดเจนของผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เนื่องจากตัวบุคคลและพรรคการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศจะมีผลโดยตรงต่อนโยบายเศรษฐกิจ การคลัง และทิศทางการลงทุนในระยะถัดไป
ปัจจัยอื่นยังต้องจับตาควบคู่
นอกเหนือจากการเมือง ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 4/2568 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/2569 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับก่อนและหลังการเลือกตั้ง
“ภูวดล ภูสอดเงิน” ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้มุมมองกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า เดิมประเมินผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ต่อ GDP ไทย อยู่ที่ราว 0.1–0.2% ภายใต้สมมุติฐานสำคัญคือ ยังไม่ลุกลามไปกระทบภาคอุตสาหกรรมหรือโรงงานผลิตขนาดใหญ่ ขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา คาดว่าจะมีผลในระดับใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ “ความยืดเยื้อ” ของสถานการณ์และขอบเขตความเสียหายจริง ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจน
หากสถานการณ์คลี่คลายเร็ว ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจะยังอยู่ในกรอบจำกัด ในมุมตลาดทุน ปัจจัยเหล่านี้ “กระทบหุ้นรายตัว” มากกว่าจะกระทบภาพรวมของตลาดหุ้นไทย
“ยุบสภา” ไม่กระทบเศรฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
หากนำประเด็นการยุบสภาเข้ามาพิจารณา ในเชิงพื้นฐานไม่ได้กระทบอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่อาจชะลอคือโครงการบางประเภท โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงนโยบายจากรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม
ตลาดหุ้นรับรู้ประเด็นยุบสภาไปแล้วพอสมควร
สถิติการลงทุนก่อนการเลือกตั้ง (pre-election rally) ย้อนหลัง 10 ครั้ง พบว่ามักเกิดแรงเก็งกำไรล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือน แต่หากดูเฉพาะ 5 ครั้งหลังสุด จะเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
ปัจจัยแวดล้อมอื่นมีความสำคัญมากกว่า ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งในรอบนี้ ยังอยู่ในภาวะค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้โอกาสเห็น pre-election rally ระยะสั้นยังไม่ชัดเจนนัก
ส่วนความกังวลว่าหุ้นจะปรับตัวลงจากปัญหาการเมืองนั้น เขามองว่า ตลาดได้ “รับรู้” ภาพนี้ไปพอสมควรแล้ว เพราะไม่ว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นเดือนนี้หรือเดือนหน้า ทิศทางโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะ สิ่งสำคัญคือไม่ควรนำปัจจัยการเมืองไปผูกโยงกับทุกปัญหา เพราะแต่ละเรื่องมีกลไกการแก้ไขที่แตกต่างกัน
โอกาสประกาศกฎอัยการศึก “ต่ำมาก”
อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงคือ ความเป็นไปได้ของการประกาศกฎอัยการศึก “ภูวดล” ย้ำว่า การใช้มาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะใน “พื้นที่และช่วงเวลาที่มีปัญหาโดยตรง” หากพิจารณาในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ เวลานี้ ยังไม่มีสถานการณ์ที่เข้าข่ายต้องใช้มาตรการพิเศษ
“ไม่ควรนำประเด็นนี้ไปขยายความจนกลายเป็นการปั่นกระแส เพราะบริบทปัจจุบันแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมาในอดีต ที่มีการชุมนุมและความรุนแรงจนรัฐต้องเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างเข้มงวด”
มองการเลือกตั้งยังเกิดตามกระบวนการ
“ภูวดล” เชื่อว่า การเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน และเป็นไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ควรมีอุบัติเหตุทางการเมืองที่ทำให้กระบวนการสะดุด


