posttoday

ยืนยง โอภากุล ‘แก่...แต่ยังเก๋า’

01 มีนาคม 2557

ชั่วชีวิตที่เกิดมา ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เล่าให้ฟังว่าเคยขึ้นรับรางวัลมาสารพัดเวที

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล / วอร์เนอร์มิวสิค

ชั่วชีวิตที่เกิดมา ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เล่าให้ฟังว่าเคยขึ้นรับรางวัลมาสารพัดเวที มีคนคอยหยิบยื่นตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ให้มากมายไม่หวาดไม่ไหว

แต่การได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องนักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556 ครั้งล่าสุดนี้ ทำให้เขารู้สึกแตกต่างไปจากที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะว่าความคิด ประสบการณ์ และริ้วรอยของสังขารได้ล่วงเลยมาถึงปีที่ 60 ของชีวิตแล้ว

วันที่พูดได้อย่างเต็มปากว่า “กูแก่แล้วนะโว้ย”

“ปีนี้ก็จะ 60 แล้ว ผมได้ยินเล็ก (ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์วงคาราบาว) เขาพูดว่าเขาคิดว่าตัวเองแก่ แต่พอได้เห็นพี่แหลม มอริสันเท่านั้นล่ะ ก็เกิดแรงบันดาลใจเลยที่เปลี่ยนความคิดว่าพวกเรานั้นยังเด็ก (หัวเราะ) เพราะทุกวันนี้พี่แหลมแกยังยืนอยู่บนเวทีด้วยความเท่ ฉะนั้นพวกผมก็จะต้องยืนอยู่ได้”

แอ๊ด คาราบาว หัวเราะ ก่อนจิบชาร้อนกลั้วคอสองอึก วันนี้เขาและวงคาราบาวมีคิวขึ้นเล่นบนเวทีที่ช่างกลพระราม 6 อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาแล้ว แต่พี่แกยังชิลชิลปลีกตัวมาให้สัมภาษณ์ได้อย่างโนพรอมแพรม

ยืนยง โอภากุล ‘แก่...แต่ยังเก๋า’

 

“เรื่องสุขภาพ ผมหยุดกินเหล้ามาปีหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังเยียวยาเรื่องตับ เพราะหลังจากไปตรวจตับอ่อนพบว่ามันเริ่มแสดงอาการเบื้องต้นของตับอักเสบแล้ว มันเป็นปกติของคนที่กินเหล้าตั้งแต่เช้ายันเย็นอย่างผมติดต่อกันหลายปี

ตั้งแต่ไม่แตะเหล้า ผมร้องเพลงง่ายกว่าเก่า จากเมื่อก่อนทุกคืนที่ร้อง 2 เพลงก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว คิดอยู่ในหัวว่าเมื่อไหร่จะครบสองชั่วโมงวะ (หัวเราะ) ต้องพักครึ่งด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่เลย ยืนตลอดสองชั่วโมงครึ่ง บุหรี่นี่ก็เลิกมาเกือบ 30 ปีแล้ว”

ในวัยเฉียดหกสิบ ชายร่างเล็กแกร่ง ผู้ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนมาหลายสนาม ยืนยง โอภากุล คนนี้ เพิ่งค้นพบว่าความสุขก็คือการค้นหาตัวเองเจอว่าชีวิตเราต้องการอะไร แล้วถ้าความต้องการนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสงบ ย่อมหมายถึงความสุขอันแท้จริง

“พระที่ไปบวช ท่านจะได้พบเจอกับความสงบแน่นอน พุทธศาสนาคือร่มโพธิ์แห่งศาสนาที่สอนให้คนสงบจิตใจก่อนเลยตั้งแต่เริ่มต้น ส่วนผมไม่ได้บวช เล่นดนตรีอยู่กับแต่ความอึกทึกครึกโครม แต่เราสามารถที่จะแสวงหาความสงบสุขในใจได้ ถ้าเกิดว่าใจเรามุ่งมั่นที่จะรักสงบ อยู่กับการกินน้อยใช้น้อย อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับผู้คน อย่าหนีผู้คน เพื่อจะได้เข้าใจปัญหาผู้คน จะได้มีส่วนในการแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา เรื่องพวกนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำให้ได้ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่ 20 กว่าปีนี่แหละ และจากนั้นก็คงจะตายจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

ยืนยง โอภากุล ‘แก่...แต่ยังเก๋า’

 

ผมพยายามทำตัวให้สงบที่สุด ธรรมดาที่สุด ทุกๆ เย็นผมจะวิ่งออกกำลังกายวันละ 5 กิโลเมตร ยามวิ่งเป็นเวลาที่ผมได้อยู่กับผู้คน อยู่กับตัวเอง อยู่อย่างธรรมดามากเลย วิ่งบนถนนธรรมดา เจอเด็กผมก็หยุดเล่นกับเด็ก แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ส่วนการพักผ่อนที่ทำทุกวันนี้ คือ การอ่านหนังสือ ศึกษาสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ศึกษาพุทธธรรม ฉบับเดิมของ ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต อ่านแล้วดีมาก ถือว่าท่านเป็นนักปราชญ์ ท่านพุทธทาสนี่ก็สุดยอด อาจารย์ ว.วชิรเมธี นี่ก็จะง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง

ในเรื่องการเขียนเพลง ผมจะตื่นมาแต่งเพลงในตอนเช้า ไอ้ที่เขาว่าผมเป็นเสือมือไวในการเขียนเพลง ทุกวันนี้ยังใช้ได้อยู่ ยังไม่ฝืด (ยักคิ้ว) ของแบบนี้เหมือนมีด ยิ่งลับยิ่งคม อาทิตย์นี้ผมก็แต่งได้ตั้ง 23 เพลงแล้ว แต่งทุกอาทิตย์แหละ เดือนหนึ่งก็ได้หลายเพลง เป็น 10 เพลง ส่วนใหญ่เป็นงานที่เขาจ้างทั้งนั้น”

เซนณิชา ซีนณัชชา และโซโลวรมัน โอภากุล ลูกทั้งสามก็โตทำงานทำการกันหมดแล้ว เป็นอันว่าหมดห่วงไปอีกเรื่อง ขณะที่ตารางแสดงดนตรีของวงคาราบาวก็ยังคงแน่นเอี้ยดมากกว่า 25 วันต่อเดือนเหมือนเดิม ยืนยง บอกว่าเหนื่อย แต่ก็ยังไหว เพราะมีความสุข

“ศิลปินคือผู้ที่เกิดมาสร้างสรรค์โลกนี้ให้สวยงามตามความถนัดของแต่ละคน แต่จะต้องมีความสุขด้วย ถ้าทำแล้วเราไม่มีความสุข เราก็ไม่ใช่ศิลปิน ถามว่าขึ้นไปเล่นเพลงซ้ำๆ ทุกคืนต่อเนื่องมากว่า 30 ปีเบื่อไหม เพื่อนผมในวงทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเรามีความสุข เห็นคนยิ้มแย้ม เล่นกันอาจจะชกกันนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขามีความสุข เราก็มีความสุข มันก็จะช่วยต่อยอดให้กับชีวิตเราต่อไป”

ในวันที่สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่ถึงขีดสุด ความแตกแยกร้าวลึกไปในทุกวงการ ตั้งแต่วงการเมือง ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ แม้กระทั่งคนบันเทิง หลายคนตัดสินใจออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างเปิดเผย หลายคนเลือกที่จะอยู่เงียบ วางตัวเฉย ด้วยเหตุผลส่วนตัว

ยืนยง โอภากุล ‘แก่...แต่ยังเก๋า’

 

แอ๊ด คาราบาว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในฐานะที่ตกเป็นเป้าแสงไฟของสาธารณชน ทำให้เขางดแสดงความเห็นทางการเมืองไม่ว่าจะบนเวที หรือการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

“มันเหนื่อย หลายครั้งที่ผมผิดหวังจากการให้สัมภาษณ์ในอดีตไป ผมเลยไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง พยายามจะตัดออก ไม่ก็เลี่ยงไปเลย ผมควรจะเงียบดีที่สุด

บ้านเมืองควรจะมีกฎกติกา เราอยู่กันเป็นหมู่มาก หากเราไม่มีกฎกติกาอะไรก็ออกมากันหมด ทำให้ปัญหามันไม่จบ เราต้องคุยกัน เวลานี้ประชาชนทุกคนพร้อมจะเดินตามกลุ่มแกนนำทั้งสองฝ่าย ถ้าเราไม่คุยกันมันจะไม่จบ ถ้าหากวันนี้ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายก็จะปลุกพรรคพวกของเขาออกมาร่วมต้านอย่างที่เคยมีคนทำไว้แล้ว ซึ่งมันก็จะวนกันอยู่แบบนี้ไม่จบ จำเป็นต้องมีคนเสียสละ ต้องมีผู้นำหรือแกนนำทั้งหลายมาคุยกัน หาทางออกแบบผู้ใหญ่ อย่าเล่นเป็นเด็ก เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องซีเรียส บ้านเมืองมันไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นของส่วนรวม”

แอ๊ดมีเฟซบุ๊ก แต่ไม่เล่น เขาให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรจะเล่น ไม่อยากแสดงตัว อีกทั้งหลายคนประเภทที่ควบคุมสติและอารมณ์ตังเองไม่ได้ก็ไม่สมควรเล่นด้วย

“ผมมีคติที่เป็นข้อคิดประจำใจอยู่ 3 ข้อ หนึ่ง เมตตา เมตตาต่อทุกคน ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย คน หรือสัตว์ มีเมตตาหมดโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำอะไรก็ได้ที่เป็นการทำความดีต่อผู้อื่นด้วยไม่หวังผลตอบแทน สอง อุเบกขา คือการที่เราอยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากให้บ้านเมืองสงบ แต่มันไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง แต่เราต้องพยายามมีส่วนให้มันเกิดความสงบ สาม ตถตา นั่นก็คือปลง มันเป็นเช่นนั้นเอง ชีวิตผมช่วงหลังมานี้ผมอ่านเซน ลัทธิเต๋า ท่านพุทธทาส หลวงพ่อชา เรื่องพวกนี้มันเลยทำให้จิตใจผมอยู่ในโลกของตัวเองเสียมากกว่า แต่ก็เป็นห่วงเป็นใยสังคมอยู่ตลอด”

คล้อยหลังข่าวการประกาศยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติปีล่าสุด ก็เกิดคำถามเชิงขำขันตามมาทันที ทำนองว่าทำไมเพิ่งได้ น่าจะได้ตั้งนานแล้ว บางคนคิดว่าได้ไปนานแล้วด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับมองไปอีกอย่าง คิดอีกแบบ

“รางวัลทุกชิ้นมีผลผูกพันต่อจิตใจผมทั้งนั้น อย่างเคยได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตครั้งล่าสุด เป็นศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดนตรีไทยสมัยนิยม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง มันแทงใจให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นผู้ให้สังคมน้อยเกินไป เลยรับปากกับทางสภามหาวิทยาลัยว่าจะขออาสาไปช่วยสอนดนตรีให้ เพราะเขามีแผนที่จะจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับดนตรีเพื่อชีวิต ดีใจที่ดนตรีเพื่อชีวิตมันก็มีความชัดเจนของมันระดับหนึ่งไม่แพ้ลูกทุ่ง

รางวัลศิลปินแห่งชาติก็เหมือนกัน ความสูงส่งของการได้รับเกียรติครั้งนี้ ผมกลับมาคิดว่าเรายังให้สังคมน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้ผมอยากหาโอกาสทำความดีตอบแทนสังคมคืนให้มากขึ้นกว่าเดิม แม้ที่ผ่านมาเราก็พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ในช่วงที่บ้านเมืองคับขัน อย่างเหตุการณ์สึนามิ หรือน้ำท่วม ใครที่มีความสามารถด้านใดก็ควรจะออกมา ผมเป็นนักดนตรีก็แต่งเพลงรณรงค์ให้คนไทยช่วยกัน ไม่ทอดทิ้งกัน เพราะผมเชื่อมาตลอดว่าประเทศเรามีดีกว่าคนอื่น ก็คือ เป็นประเทศของคนที่มีน้ำใจ อบอุ่น ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์รุนแรงใดๆ ขึ้น เราจะผ่านไปได้ด้วยความรัก ความสามัคคี ผมขอยกความดีความชอบให้เพื่อนๆ สมาชิกวงคาราบาวทุกคน ถ้าไม่มีเพื่อนในวงคาราบาวอย่างในวันนี้ ผมคงไม่มีวันที่จะเดินทางมาถึงจุดนี้ ทุกคนในวงเป็นเหมือนลมใต้ปีก ผมเป็นหัวหน้าก็จริง แต่เราทำงานร่วมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาตลอด”

กว่าสิบสามปีของการเดินทางอันทรหดของ ยืนยง โอภากุล และวงคาราบาว วันนี้อาจกล่าวได้ว่า ดอกผลที่พวกเขาได้ผลิตขึ้นมาด้วยอุดมการณ์และหยาดเหงื่อเริ่มงอกงามและผลิบานขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจ

ข่าวล่าสุด

“รูบิโอ” ตอบสื่อสหรัฐ หวังไทย-กัมพูชา หยุดยิงภายในวันอังคาร