posttoday

เรื่องขบคิดจาก Gravity

23 กุมภาพันธ์ 2557

Gravity (มฤตยูแรงโน้มถ่วง) เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งในปี 2556 ทั้งในแง่ของรายได้และรางวัล โดยได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากลูกโลกทองคำ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหลายรางวัล ทั้งลูกโลกทองคำและอะคาเดมี (ออสการ์) เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำยอดเยี่ยม ฯลฯ

Gravity (มฤตยูแรงโน้มถ่วง) เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งในปี 2556 ทั้งในแง่ของรายได้และรางวัล โดยได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากลูกโลกทองคำ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหลายรางวัล ทั้งลูกโลกทองคำและอะคาเดมี (ออสการ์) เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำยอดเยี่ยม ฯลฯ

แม้ว่าหนังจะสนุกตื่นเต้นน่าติดตาม แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สมจริงบางอย่าง ซึ่งผู้กำกับภาพยนตร์เองก็ยอมรับในคำวิจารณ์ (หมายเหตุ : เนื้อหาต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง หากทราบก่อนชมภาพยนตร์ อาจทำให้เสียอรรถรสได้)

ภาพยนตร์เล่าถึงเหตุการณ์ระหว่างที่นักบินอวกาศกำลังปฏิบัติงานซ่อมบำรุงกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลนอกกระสวยอวกาศ ดร.ไรอัน สโตน (ซานดร้า บูลล็อก) กับ แมตต์ โควาลสกี (จอร์จ คลูนีย์) กำลังสนทนากันระหว่างทำงาน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อซากชิ้นส่วนจำนวนมากจากการยิงขีปนาวุธทำลายดาวเทียมของรัสเซียได้พุ่งเข้าชน

กระสวยอวกาศถูกทำลายไปพร้อมกับชีวิตของนักบินอวกาศคนอื่น สโตนและโควาลสกีจึงต้องพยายามเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์กลางอวกาศโดยลำพัง เนื่องจากไม่สามารถติดต่อกับศูนย์ควบคุมภารกิจได้ พวกเขาเดินทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาติโดยอาศัยอุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนที่ในอวกาศ และสุดท้ายเหลือเพียง ดร.สโตน ที่ไปถึงสถานีอวกาศเทียนกง1 ของจีน เพื่อใช้ยานแบบเดียวกับโซยุซเป็นพาหนะกลับสู่พื้นโลก

การแสดงของนักแสดงนำทั้งสอง เทคนิคพิเศษด้านภาพ ดนตรีประกอบ และอื่นๆ เป็นจุดเด่นที่ช่วยกลบจุดด้อยในด้านความไม่สมจริงในเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ ซึ่งนักดาราศาสตร์หลายคนได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมจริงนี้

วงโคจรของสถานีอวกาศนานาชาติอยู่ต่ำกว่าวงโคจรของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลกว่า 100 กิโลเมตร และระนาบวงโคจรก็อยู่คนละระนาบ (ความเอียงของวงโคจรเมื่อเทียบกับเส้นศูนย์สูตรทำมุมต่างกัน) การเดินทางไปหากันต้องมีการคำนวณเส้นทางล่วงหน้า จึงจะพบกันได้ นอกจากนี้ เอ็มเอ็มยูหรือเจ็ตแพ็ก ซึ่งเป็นเครื่องช่วยการเคลื่อนที่ในอวกาศ ก็มีพลังงานไม่มากพอที่จะใช้เดินทางไกลจากวงโคจรของกล้องฮับเบิลไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ

สกอตต์ พาราซินสกี นักบินอวกาศชาวอเมริกัน ให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งแรกที่เขารู้สึกคือ การออกทำกิจกรรมนอกยานโดยนักบินอวกาศ 3 คน ทุกคนจะมีภารกิจที่ต้องทำ แต่ในภาพยนตร์เราจะเห็นแต่ ดร.สโตน ที่กำลังทำงานอยู่ ขณะที่โควาลสกีลอยไปรอบๆ นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ในอวกาศด้วยเจ็ตแพ็กก็ไม่ได้รวดเร็วอย่างที่เห็นในภาพยนตร์

เขาเอ่ยถึงเครื่องแต่งกายของนักบินอวกาศว่าอุณหภูมิบนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่ง ร้อนจัดในแสงอาทิตย์ และหนาวจัดในเงามืด แต่เมื่อสโตนถอดชุดอวกาศออก เธอสวมแต่เสื้อและกางเกงขาสั้น ไม่ใช่ชุดที่มีระบบถ่ายเทอุณหภูมิ รวมไปถึงไม่ได้สวมถุงเท้า ซึ่งขัดกับความเป็นจริง

ต้นตอของสถานการณ์วิกฤตในภาพยนตร์เกิดจากการยิงทำลายดาวเทียมสอดแนมโดยรัสเซีย ซากดาวเทียมได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำลายดาวเทียมอีกหลายดวงตามมาในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ในความเป็นจริง ปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์เคสเลอร์ อาจเกิดขึ้นได้ก็จริง แต่ใช้เวลานานเป็นสิบๆ ปี ไม่ใช่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เหตุการณ์ในภาพยนตร์ที่แสดงว่าดาวเทียมสื่อสารก็ถูกทำลายไปด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะดาวเทียมสื่อสารอยู่สูงขึ้นไปอีกไกลมาก

เหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งคือการที่โควาลสกียอมสละชีวิตโดยปลดสายโยงที่เชื่อมตัวเขากับสโตน บางคนมีความเห็นว่าสโตนไม่จำเป็นต้องปล่อยโควาลสกีในอวกาศ เหตุการณ์ขณะนั้นดูเหมือนว่าทั้งสองอยู่นิ่งแล้ว (เมื่อเทียบกับสถานีอวกาศ) ไม่มีแรงเหวี่ยงใดที่ดึงโควาลสกีให้ห่างออกไป ดังที่แสดงให้เราเห็นในภาพยนตร์ สโตนเพียงแค่ดึงสายโยงเบาๆ โควาลสกีก็จะถูกดึงให้เข้ามาหาเธอ

อย่างไรก็ตาม เควิน เกรเซียร์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ และรอเบิร์ต ฟรอสต์ วิศวกรนาซา อธิบายว่า สถานการณ์ในขณะนั้นทั้งคู่ยังไม่หยุดนิ่ง แต่ยังเคลื่อนที่ออกไปพร้อมกับถูกหน่วงด้วยเชือกของร่มชูชีพที่พันขาของสโตน เชือกกำลังยืดออกเนื่องจากดูดซับพลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ของนักบินอวกาศทั้งสอง โควาลสกีกลัวว่าเชือกจะขาด หรือหลุดจากเท้าของสโตน จึงตัดสินใจปลดตะขอเกี่ยวกับสายโยง

ฉากที่สโตนร่ำไห้ในอวกาศ หยดน้ำตาของเธอลอยออกไป แต่ในความเป็นจริง น้ำตาจะไม่ลอยออกจากใบหน้า คริส แฮดฟิลด์ นักบินอวกาศชาวแคนาดา ซึ่งเคยปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติ ได้โพสต์คลิปวิดีโอบนยูทูบ แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีหยดน้ำตาในอวกาศ แรงตึงผิวของน้ำจะทำให้น้ำตายังคงติดอยู่บนใบหน้าหรือบริเวณใต้ตา ไม่ลอยออกไปในทันทีแบบในภาพยนตร์

ส่วนดีของภาพยนตร์คือการแสดงอารมณ์ของตัวละครระหว่างที่พยายามเอาชีวิตรอด หลังจากต้องเผชิญความกลัว การสูญเสีย และความยากลำบากจนแทบจะสิ้นหวัง ช่วยให้เราได้สัมผัสส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมในอวกาศรอบโลกที่ดูสมจริง และแสดงให้คนจำนวนมากได้ตระหนักถึงภัยจากขยะอวกาศ

ไมเคิล แมสซิมิโน นักบินอวกาศที่เคยปฏิบัติงานซ่อมกล้องฮับเบิลได้เขียนในทวิตเตอร์ชื่นชมรายละเอียดอันสมจริงของกระสวยอวกาศ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล และสถานีอวกาศนานาชาติ รวมไปถึงชุดอวกาศ แม้กระทั่งเครื่องมือที่ใช้ในอวกาศ

แม้ว่านักดาราศาสตร์หลายคนจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สมจริงบางประการ แต่ก็เห็นด้วยว่ามันคือภาพยนตร์ ไม่ใช่สารคดี และทุกคนก็ยอมรับว่าชื่นชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจพูดได้ว่าเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก