น่ารักชวนละลาย Frozen

โดย...แหนงดู

ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ของ ดิสนีย์ แต่...เมื่อไล่เรียงดูแล้ว ผู้เขียนก็พบว่า ตัวเองดูหนังเกือบทุกเรื่องของค่ายนี้ แม้หลายเรื่องจะเกิดไม่ทัน (ยังเด็กอยู่ 555) แต่ก็หาแผ่นหาไฟล์มาดูย้อนหลัง และเมื่อมีงานใหม่ๆ ออกมาก็อดไม่ได้ที่จะไปอุดหนุน

หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้เขียนอยากดูหนังของดิสนีย์ก็เพราะเป็นความบันเทิงและมีสาระดีๆ สอดแทรกมาด้วย หนังหลายเรื่องของดิสนีย์พาคนดูโลดแล่นไปในโลกของจินตนาการ เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง แต่สามารถพบได้เพียงแค่ตีตั๋วเดินทาง 200 บาท (หรือประมาณนั้น) และงานเรื่องล่าสุดของดิสนีย์อย่าง Frozen ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง

กำกับการแสดงโดย คริส บัค จาก Tarzan และ Surf's Up เขียนบทและร่วมกำกับโดย เจนนิเฟอร์ ลี จาก WreckIt Ralph ให้เสียงพากย์โดยนักแสดงสาว คริสเตน เบลล์ รวมทั้งนักแสดงเจ้าของรางวัลโทนี่ อวอร์ด อีดิน่า เมนเซล เพลงประกอบจากฝีมือของสุดยอดนักแต่งเพลงบรอดเวย์ โรเบิร์ต โลเปซ และคริสเทน แอนเดอร์สันโลเปซ

ธีมของ Frozen เน้นไปที่เรื่องคัมมิ่งออฟเอจ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องสาว รักแท้ เพื่อนแท้ และพลังของสตรี ใครที่ติดใจ Brave งานของดิสนีย์เมื่อปีที่แล้วก็น่าจะได้ลองมาดูเรื่องนี้

เรื่องราวของ Frozen เกิดขึ้นที่เอเรนเดลล์ อาณาจักรซึ่งมีฤดูหนาวอันเยือกเย็น เพราะด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติของ เอลซ่า หรือราชินีหิมะ (เสียงโดย อีดิน่า เมนเซล) เมื่อถูกไล่ล่าและรู้สึกผิดเธอจึงหนีไป ทำให้น้องสาวคือ แอนนา สาวน้อยผู้มองโลกในแง่ดี (เสียงโดย คริสเตน เบลล์) ต้องออกตามหา โดยมี คริสตอฟ (เสียงโดย โจนาธาน กรอฟฟ์) มนุษย์ภูเขาผู้กล้าหาญช่วยเหลือ โดยมี สเวน กวางเรนเดียร์ที่มีนิสัยเหมือนสุนัขร่วมเดินทาง ก่อนจะได้พบกับ โอลาฟ มนุษย์น้ำแข็งช่างฝัน พวกเขาร่วมกันเดินทางผจญภัยเพื่อยุติคำสาปบนเส้นทางอันโหดร้าย เผชิญหน้ากับสัตว์ในตำนานและมนตรา ทั้งหมดต้องฝ่าฝันอุปสรรคเพื่อชัยชนะ

 

Frozen เป็นหนังการ์ตูนเพลงที่สดใส คือการกลับคืนสู่ฟอร์มเดิมๆ ซึ่งดิสนีย์ถนัดถนี่ ด้วยเรื่องราวน่าสนใจ กระชับ แข็งแกร่ง มั่นใจ สนุกสนานเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้เดา เพราะดำเนินไปตามสูตรของดิสนีย์...เป๊ะ!!! อีกทั้งคาแรกเตอร์ตัวละครก็ไม่ได้ใหม่ แต่เราก็อดจะเอ็นดูหรือชื่นชมไม่ได้ กับหนังเรื่องนี้ดิสนีย์ได้ใส่ประเด็นที่ซับซ้อนเข้าไปในเทพนิยายทำให้เกิดความต่างระหว่างงานโทนเดียวกันที่พวกเขาสร้างมาก่อนหน้านี้เล็กน้อย

หนึ่งจุดเด่นของ Frozen คือ บทเพลงอันยอดเยี่ยมในสไตล์บรอดเวย์ ดนตรีติดหู เนื้อหาโดนใจ เพลงในแบบ The Lion King หรือ Beauty and the Beast มีให้ได้ฟังในเรื่อง นอกจากนี้ยังมีภาพเคลื่อนไหวที่สดใส แสงเหนือ พายุหิมะ การหักเห สะท้อนแสง ฯลฯ ทุกภาพล้วนงดงาม เทคนิคพิเศษ 3 มิติก็คุ้มค่าที่จะจ่ายเงิน ไม่เหมือนกับบางเรื่องที่ดูไปก็รังแต่จะทำให้ไมเกรนกำเริบเปล่าๆ (555)

Frozen เป็นหนังร่าเริงสดใส น่าประทับใจในความรักของพี่น้อง รวมทั้งตัวละครอย่าง โอลาฟ มนุษย์หิมะผู้ฝันถึงฤดูร้อน แต่ความอบอุ่นซึ่งดิสนีย์มักจะนำเสนอผ่านงานของพวกเขาเสมอๆ นั้นกลับหาพบได้น้อย เหมือนกับถูกแช่แข็งจนดูออกจะเย็นชาไปบ้าง แม้หนังจะบอกว่า “การกระทำแห่งรักแท้ ละลายหัวใจน้ำแข็งได้” แต่เราอาจจะรู้สึกถึง “รักแท้” ไม่มากพอ จึงทำให้น้ำแข็งละลายไม่หมด ก็เป็นได้!!! แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายต่อหนังโดยรวม แค่ทำให้ไม่อิ่มเต็มที่ เพราะยังมีบางอย่างที่รู้สึกว่าขาด

แม้ Frozen จะไม่ใช่หนังแห่งการปฏิวัติหรือสร้างนวัตกรรม เป็นหนังที่มีทั้งใหม่และเก่าผสมผสาน เป็น “หนังสูตร” ที่น่ารักงดงามถูกใจคนดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นเทพนิยายที่เหมาะกับช่วงส่งท้ายปี

แฟนขาประจำย่อมไม่ผิดหวัง และสำหรับดิสนีย์พวกเขาได้สร้างงานระดับคลาสสิกในยุคใหม่ขึ้นอีกหนึ่งชิ้น (ปรบมือ)

Frozen

ปี 2013

ประเทศ สหรัฐ

ประเภท แอนิเมชั่น/ผจญภัย/ตลก

เรตติ้ง ท ทั่วไป

ความยาว 108 นาที

กำกับ คริส บัค/เจนนิเฟอร์ ลี

แสดง (เสียง) คริสเตน เบลล์/อีดิน่า เมนเซล/โจนาธาน กรอฟฟ์/จอช แกด

เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Frozen

เจ้าชายฮันส์ หนึ่งในตัวละครของเรื่อง ตั้งชื่อตามชื่อ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน กวีและนักเขียนเทพนิยายชาวเดนมาร์ก เจ้าของผลงานดังที่ถูกดิสนีย์นำมาดัดแปลงเป็นหนังหลายเรื่องรวมทั้ง The Snow Queen ซึ่งเป็นที่มาของ Frozen (ว่ากันว่าชื่อ คริสทอฟ มาจาก คริสเตียน และ แอนนา มาจาก แอนเดอร์เซน)

ทั้ง คริสเตน เบลล์ และอีดิน่า เมนเซล เคยมาทดสอบบท ราพันเซล ในงานของดิสนีย์เรื่อง Tangled แม้จะไม่ได้รับเลือก แต่ภาพการออดิชั่นก็ถูกเก็บไว้ และสองปีต่อมาพวกเธอก็ได้รับบทในหนังเรื่องนี้ คริสเตน เบลล์ อาจจะร้องไม่ได้อลังการแบบนักร้องบรอดเวย์แต่ก็ร้องดีและเข้ากับบุคลิกของของ แอนนา

เจนนิเฟอร์ ลี นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ร่วมกำกับหนังยาวของดิสนีย์ ทั้งยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขียนบทคนเดียวทั้งเรื่องสำหรับหนังแอนิเมชั่นของดิสนีย์นับตั้งแต่ ลินดา วูลเวอร์ตัน ทำให้ Beauty and the Beast ในปี 1991

หลังหนังออกฉาย เอลซ่า กลายเป็นเกย์ไอคอนคนใหม่ ด้วยลักษณะและบุคลิกที่ “เกิน” หญิงหลายอย่างของเธอ