ภูเก็ต เบื้องหลังเงาตาลโตนด
ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ผ่านเส้นทางจาก จ.สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา สู่ภูเก็ต ให้หงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลของการปลูกตกแต่งต้นไม้ในเขตริมทางหลวงและแนวเกาะกลางถนน ซึ่งมีการปลูกหญ้าและปลูกต้นไม้กันอย่างสุกเอาเผากิน และดูคล้ายจะต้องการทำงานซ้ำซาก โดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียงบประมาณ ไม่เข้าใจว่าผู้ปลูกหญ้าบนเกาะกลางถนนไปงัดเอาหญ้าสนามจากขุมใดมาปลูก เพราะมันแหลกเป็นชิ้นๆ หญ้าออกแห้งเพราะขาดน้ำ โอกาสที่จะรอดตายนั้นน้อยมาก หลายคนในรถวิจารณ์ออกมาตรงๆ ว่า พังงามีชื่อเสีย (ง) เรื่องนี้มาโดยตลอด ผ่านไปผ่านมาตามเส้นทางดูเหมือนจะทำงานไม่เสร็จสิ้นอยู่ทั้งชาติ ทั้งๆ ที่ความจริงพังงามีความได้เปรียบที่มีภูเขาหินปูนสวยงามอยู่ในเมืองแท้ๆ น่าจะวางผังเมืองจัดการเรื่องภูมิทัศน์ให้สวยงามได้ แต่ดูเหมือนเรากลับได้ภาพที่มาทำลายความงามของธรรมชาติเสียละมาก ทำไงได้ การเมืองก็เป็นเช่นนี้เลือกตั้งเข้ามาเมื่อใดก็ได้ผู้บริหารชุดเดิม ที่ทำงานไร้ฝีมือน่าเศร้าใจกับเมืองพังงาแทนคนพังงายิ่งนัก
มาภูเก็ตเที่ยวนี้ ดูผิดหูผิดตาไปมาก สิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ทำให้เมืองภูเก็ตดูไม่ต่างไปจากพัทยา บางแสน หนองมน และศรีราชา มันบดบังความเป็นภูเก็ตเมืองเก่าที่เคยมีเสน่ห์ให้เลือนหายไปเกือบหมด ตึกรามบ้านช่องสมัย ร.5–ร.6 คงเหลืออยู่เพียงส่วนน้อย แต่ยังดีที่ได้รับการบูรณะดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากผู้สืบตระกูลรุ่นหลัง นี่ถ้าเป็นบ้านเมืองในอิสราเอล ตุรกี หรือในยุโรป คงมีกฎหมายผังเมืองให้ควบคุมการก่อสร้างให้คงความเป็นภูเก็ตเมืองเก่าเอาไว้ ไม่แหลกลานจนกลายเป็นพัทยาแห่งทะเลอันดามันเช่นปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงของภูเก็ตมิได้คงอยู่เฉพาะในเรื่องสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงสภาพของต้นไม้ขนาดใหญ่และน้อยที่เคยเห็นในเกาะ ซึ่งได้รับสมญาว่าไข่มุกแห่งอันดามัน แต่บัดนี้ไข่มุกที่ว่า เริ่มหมองมัวไปตามกาลเวลา จากเกาะที่เคยเขียวขจีด้วยหมู่ไม้ใหญ่น้อย อากาศที่ชุ่มฉ่ำอยู่เกือบตลอดปี บัดนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเคยขึ้นอยู่ตามยอดเขา หุบเขา และตามถนนหนทางในเมืองต่าง ๆ ถูกตัดฟันโค่นทำลายเกือบไม่เหลือป่าดั้งเดิมในเกาะภูเก็ต และเกือบไม่เหลือซากให้เห็น ยกเว้นก็แต่เฉพาะเขตอุทยานเพียงบางแห่งที่เหลือป่าและต้นไม้ธรรมชาติดั้งเดิม นอกจากนั้นต้นไม้ต่างถิ่น เช่น ยางพารา มันมีผลต่อสภาพอากาศเฉพาะถิ่น เกาะภูเก็ตอย่างชัดเจน กล่าวได้ว่า ภูเก็ตกำลังตกอยู่ในสภาวะภูมิอากาศแบบเปียกสลับแล้ง หรือที่เรียกว่าภูมิอากาศแบบทุ่งสะวันนากลาย คือไม่เปียกธรรมดา แต่เปียกโชกจนเกิดน้ำท่วมแผ่นดินถล่มจะกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนช่วงแล้งยาวนาน การขาดน้ำรุนแรงจนกลายเป็นสภาพแล้งวิกฤตทีเดียว และนับวันความแห้งแล้งจะรุนแรงและเกิดภัยจากไฟป่า เช่นเดียวกับที่เราพบเห็นในหลายส่วนของโลก
แม้แต่สภาพต้นไม้ริมถนนทั่วเกาะภูเก็ตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด เดิมเราเคยเห็นต้นไม้ขนาดยักษ์ขึ้นอยู่ตามริมถนนสายต่างๆ ตั้งแต่เริ่มข้ามสภาพท่าฉัตรไชยเข้าไปสู่ อ.กระทู้ อ.ถลาง แต่ปัจุบันดูเหมือนต้นไม้ใหญ่หลายชนิดถูกตัดโค่นสูญหายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยางนา ต้นตะเคียน ต้นประดู่ มะม่วงป่า ขนุนป่า รวมถึงต้นไม้ต่างถิ่นที่มีขนาดใหญ่ เช่น ก้ามปูหรือจามจุรี ถูกโค่นล้มสูญหายไปหมด นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ภูมิอากาศของเกาะภูเก็ตมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาแล้ว
เราไม่รู้เหตุผลลึกๆ ของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ภายใน อำเภอเมืองและอำเภออื่นๆ ของภูเก็ตก็ตาม เราได้เห็นการนำเอาปาล์มต่างประเทศชนิดสกุลต่างๆ เข้ามาปลูกตามริมถนนและบนเกาะกลางถนนอยู่ทั่วไป นี่รวมถึงต้นตาลโตนดขนาดยักษ์ซึ่งถูกขุดย้ายนำมาลงปลูกบนเกาะกลางถนน ซึ่งพาดจาก อ.ถลาง เข้าไปสู่ อ.เมือง นับหลายสิบกิโลเมตรทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นถนนสายตาลโตนดที่ยาวที่สุดในโลกก็ตาม น่าจะไม่ผิดความจริงมากนัก น่าเสียดายที่การมาของปาล์มพื้นบ้านของไทยชนิดนี้ ไม่ค่อยจะสง่างามเท่าใดนัก เพราะมันมีเบื้องหลังที่เป็นเรื่องเล่าขานกันในทางลบ ตั้งแต่เรื่องการทำประชาวิจารณ์ไปจนถึงการเข้ามาของตาลโตนด ต้องส่งผลให้ประดู่บ้าน (Angsana tree: Pterocarpus indicus) ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำ จ.ภูเก็ต ต้องถูกเขี่ยกระเด็นออกจากพื้นที่ปลูกบนเกาะกลางถนนและริมถนนเดิมใน จ.ภูเก็ต ไปอย่างเกือบไม่เห็นซากในปัจจุบัน ผู้สันทัดกรณีเรื่องพืชคนหนึ่งของเกาะภูเก็ตเล่าให้ฟังว่า “ปัจจุบันต้นตาลโตนดซึ่งได้มาในสมัยผู้ว่า 7 คนเดิมนั้นถูกทอดทิ้ง ปราศจากผู้ดูแลตัดแต่งกิ่งก้านที่มีใบแห้งติดอยู่ ทำให้ดูน่าเกลียดมากกว่าจะให้ความสง่างาม นอกจากนี้หลายต้นล้มตายหายสูญไปและอีกหลายต้นกำลังจะค่อยๆ ตายไป ความที่ต้นปาล์มชนิดนี้แสดงอาการออกอย่างช้าๆ กว่าจะรู้มันก็มักจะสายเกินไปที่จะช่วยชีวิตมันไว้ได้ เสียดายเงินงบประมาณที่หมดไปแล้วและกำลังจะต้องเสียไปอีกมากกับเรื่องอย่างนี้” คุณอรรณพ องค์สกุล เล่าเพิ่มเติมเรื่องของต้นประดู่ บนเกาะกลางถนนว่า “ต้นประดู่นี้เหมาะสมสำหรับปลูกให้ร่มเงา และออกดอกสีเหลืองสวยงาม เหมาะที่จะปลูกปรับปรุงสภาพแวดล้อมและปรับปรุงสภาพอากาศให้มีความเย็นชื้น เช่นเดียวกับที่นิยมกันในกัวลาลัมเปอร์และสิงคโปร์” อรรณพ เล่าต่ออีกว่า “ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือ เขาปลูกต้นประดู่ลงถึง 4 ต้น ต่อระยะทางหนึ่งช่วงเสาไฟ ทำให้ต้นประดู่แตกกิ่งก้านสาขาเบียดกันค่อนข้างแน่น จึงมีการตัดแต่งกิ่งก้านตามสไตล์ถนัดของกรมทางหลวง นั่นคือตัดกิ่งจนกุดลงหมดเหลือคล้ายหัวตอ ทำให้ต้นประดู่ทรุดโทรมลงจนในที่สุดก็ถูกขุดออกและปลูกตาลโตนดลงดังที่เห็น"


