posttoday

มนุษย์ยุคหิน

05 สิงหาคม 2555

ธรรมชาติมีความพิเศษที่สำคัญอยู่อย่าง นั่นคือ การพยายามรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของตนเอง

โดย...คุณวีรณัฐ โรจนประภา

ธรรมชาติมีความพิเศษที่สำคัญอยู่อย่าง นั่นคือ การพยายามรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของตนเอง

เช่น ลำไย ที่หากใครเอาไฟไปเผา ก็จะผลิดอกออกผลมากขึ้นเพื่อรักษาพันธุ์ของตนไว้ หรือสัตว์บางชนิดที่จะสูญพันธุ์ ก็จะมีกลไกบางอย่างมาป้องกันตนเอง

หรือแม้แต่มนุษย์เราเองยามตกอยู่ในความกลัว ความวิตกกังวลด้านการมีชีวิตอยู่ ก็พลิกมาออกด้านความต้องการเสพสมที่มากขึ้น

นี่เป็นสัญชาตญาณการรักษาเผ่าพันธุ์นั่นเอง

เกริ่นเรื่องนี้เพราะนึกถึงพระสูตรหนึ่งที่ว่าด้วยการกำเนิดของมนุษย์ แล้วได้ข้อคิดเทียบเคียงกับปัจจุบันนี้หลายอย่างเลยขอนำมาฝากครับ

ช่วงต้นของพระสูตรจะเกี่ยวกับการติดในรสชาติอาหารของสิ่งมีชีวิตที่มีความประณีต แต่เมื่อมาพอใจรสหยาบ อาหารหยาบ ร่างกายก็หยาบตาม จนในที่สุดก็วิวัฒน์มาเป็นร่างกายมนุษย์อย่างพวกเราในปัจจุบัน

ถัดมาจะเป็นช่วงที่ผมสนใจ นั่นคือ เริ่มจากเดิมมนุษย์อยู่ร่วมกันโดยมีธรรมชาติจัดสรรอาหารการกินให้อย่างเหลือเฟือ มนุษย์หิวก็ออกไปหาข้าวกินตามต้นได้อย่างง่ายดาย ข้าวก็ออกรวงสม่ำเสมอโดยไม่มีเปลือก จนวันหนึ่งมีมนุษย์ที่ขี้เกียจไม่อยากไปเก็บทุกครั้งที่ร่างกายต้องการ แต่เก็บ “เกิน” เผื่อไว้หิวหน้า คือ ตอนเย็นด้วย เมื่อทำคนหนึ่งคนอื่นเห็นคนอื่นก็ทำบ้าง จนในที่สุดทุกคนก็ต่างเก็บสำรองไว้ทั้งวันไม่ต้องเหนื่อยออกหาทุกครั้งที่หิวอย่างเคย

มนุษย์ยุคหิน

 

แต่นั่นยังไม่พอกับความ “ขี้เกียจ” ของมนุษย์ เมื่อสะสมเผื่อมื้อหนึ่งสบายมื้อหนึ่ง ก็เริ่มที่จะสะสมยาวขึ้นเป็น 7 วัน สบาย 7 วัน เป็นกึ่งเดือน เป็นหนึ่งเดือน คนหนึ่งทำ คนอื่นเห็นเพื่อนสบายไม่ต้องออกไปหาข้าวทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ก็เลียนแบบ ต่างคนต่างสะสมข้าวไว้กินเองเป็นเดือน และเมื่อทุกคนพร้อมใจกันทำเช่นนี้ ข้าวซึ่งเคยเหลือเฟือก็ขาดแคลน ธรรมชาติก็ปรับตัวตามกฎของธรรมชาติที่พัฒนามาป้องกันตัวเอง พืชบางชนิดก็ผลิตหนามแหลม บางชนิดก็มีเปลือกหนา ส่วนข้าวพอเริ่มจะสูญพันธ์ จึงมีเปลือกขึ้นเหมือนดั่งปัจจุบันนี้

และเมื่อมีส่วนเกินมาก กักตุนไว้มากขึ้นๆ จนเกิดความขาดแคลน คนสะสมได้มากก็ต้องมีการปักปันรั้วป้องกันคนมาขโมย คนขาดแต่เมื่อจำเป็นต้องกิน ก็ต้องใช้กำลังเข้าแย่งชิงกัน เรียกว่า เกิดเป็นกลียุค จากอยู่ร่วมกันเป็นสุขกลายเป็นอยู่กันอย่างศัตรูคอยจ้องจะแย่ง คอยระแวงจะถูกขโมย มีการใช้ความรุนแรง ใช้กำลัง ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกัน สุดท้ายไม่สามารถรับสภาพนี้ได้ จึงหันมาประชุมร่วมกันแล้วเลยเลือกคนที่แข็งแรงที่สุดขึ้นมาเป็นผู้ปกครองเผ่า คอยตัดสินคดีความจะได้ไม่ต้องตีกันเอง

พระสูตรแจกแจงโดยละเอียด แต่ผมย่นย่อลงมาเสนอเพียงถึงช่วงเวลานี้ เพราะวิวัฒนาการต่อจากนี้ก็เริ่มต้นสู่บันทึกในประวัติศาสตร์ คือ เริ่มต้นของยุคหิน ที่นอกจากกำลังของหัวหน้าเผ่าแล้ว ยังมีหมอผีที่ใช้ความกลัวในการปกครองคนอีก และพัฒนามาสู่ปัจจุบันที่ก็ยังไม่ต่างจากเดิมเมื่อหลายล้านปีก่อนเลย ทะเลาะ ขัดแย้ง ใช้กำลังและความรุนแรง จนนำไปสู่การเกิดสงคราม และปัญหาอื่นๆ เรื่อยมา

ดังนั้น ใครบอกว่ายุคเราเป็นยุคที่เจริญแล้วอาจต้องคิดกันใหม่ว่าจริงล่ะหรือ!

เรากล้าบอกว่าเราเจริญทั้งที่เราก็ยังไม่ต่างจากมนุษย์ยุคหินนั้นเลย

เราสะสมกันเกินความจำเป็นจนเกิดการขาดแคลน จนเกิดการใช้กำลังแย่งชิง เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องมือจากการใช้กำลังเป็นเครื่องมือชิ้นใหม่ๆ ที่เข้ายุคมากขึ้น เช่น จากขวาน จากธนู เป็นปืน เป็นระเบิด หรือการสร้างความกลัวให้คนยอมสยบจากกลัวสิ่งลี้ลับ กลัวภยันตราย เป็นกลัวจน กลัวลำบาก กลัวไม่มีตัวตนในสังคม

ข้อสรุปที่ได้จากวิวัฒนาการนี้ก็คือ หากมนุษย์เอาแต่เพียงพอดี ไม่โลภ การเบียดเบียนก็จะไม่เกิด การเอาเปรียบกันก็จะไม่เกิด แต่ในความเป็นจริง คือ เราไม่พอดี เราโลภมาช้านานจนเราพัฒนาความโลภอันชั่วร้ายและไม่ถูกต้องนั้น มาฉาบทาด้วยค่านิยมที่สวยหรูจนบิดของผิดให้ยอมรับว่าถูกผ่านระบบที่เรียกว่า “ทุนนิยม”

ทุนนิยมที่มีพื้นมาจากการกอบโกย การสะสม การละโมบโลภมาก หาให้ได้มากที่สุดเท่าที่กำลังทุน กำลังความรู้ กำลังทรัพย์ต่างๆ จะทำได้

ทุนนิยมที่นำเอาเรื่องของกลไกตลาดมาเป็นข้ออ้างในความชอบธรรม ข้อแก้ต่างที่มักถูกใช้เสมอก็คือคำว่า “ตลาดเสรี” อันเป็นทฤษฎีที่ว่าหากตลาดเปิดเสรีร้อยเปอร์เซ็นต์ การเอารัดเอาเปรียบ การค้าขายขูดรีด การผูกขาดย่อมทำไม่ได้ ราคาขาย คุณภาพจะถูกปรับให้เข้าสู่ความเหมาะสมและสู่จุดสมดุลเอง หรือที่มักใช้ว่า ดีมานด์ซัพพลาย ความต้องการและกำลังการผลิตจะทำให้ทุกอย่างในระบบสมดุลและออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด

มีความพยายามที่จะครอบงำ ความพยามที่จะโน้มน้าวให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในระบบนี้ ระบบที่รากฐานก็ระบุไว้ชัดเจนเลยว่าต้องหาส่วนต่าง ส่วนเกินหรือกำไรนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยมารวบรัดสรุปเอาว่า ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์จะออกมาดีมากๆ แต่ผลที่ประจักษ์อยู่นั้นก็แสดงให้เห็นว่าไม่เป็นความจริงเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมา ไม่ต้องมีงานบางอย่างที่ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจ และไม่ต้องมีกฎหมายควบคุมราคาสินค้าบางประเภท นั่นก็เพราะความไม่สามารถเข้าสู่สมดุลได้จริงของระบบทุนนิยมนั่นเอง

ตลกไหมครับ อยู่ในน้ำเน่าแล้วบอกว่าเน่าให้เต็มที่เถิดเดี๋ยวจะกลายเป็นน้ำใสได้เอง

สุดท้ายผมนึกถึงคำของปราชญ์เอกของโลกอย่างท่านมหาตมะ คานธี ท่านกล่าวไว้ว่า

There is a sufficiency in the world for man’s need but not for man’s greed.

โลกมีทรัพยากรเพียงพอกับมนุษย์ทุกคน แต่ไม่เพียงพอสำหรับความโลภของ

มนุษย์เพียงคนเดียว!



 

 

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก