posttoday

Sunrise ที่ดอยไตแลง

11 กุมภาพันธ์ 2555

ผมไม่เคยมาเที่ยวดอยไตแลงมาก่อน ทั้งๆ ที่ตระเวนทำข่าวทำสารคดีตามแนวชายแดนมานานแล้วก็ตาม

โดย...จำลอง บุญสอง

ผมไม่เคยมาเที่ยวดอยไตแลงมาก่อน ทั้งๆ ที่ตระเวนทำข่าวทำสารคดีตามแนวชายแดนมานานแล้วก็ตาม ที่ไม่ได้ไปก็เพราะไม่สบโอกาสสักที ว่าจะๆ แล้วก็ตั้งหลายหน คราวนี้ใช้โอกาสที่พม่าเปลี่ยนนโยบายหยุดยิงทั่วประเทศ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนไม่ว่าชนกลุ่มน้อยหรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเข้าไปเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติพม่า” ก็เลยเข้าไปอัพเดตสถานการณ์ให้แฟนๆ เซ็กชันท่องเที่ยวได้รับทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจในปัญหาประเทศชาติอย่างได้สาระและความบันเทิงไปในตัวตามประสาสารคดี ผมก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงหาอ่านเรื่องท่องเที่ยวแบบนี้ที่ไหนไม่ได้แน่ๆ

ดอยไตแลง เป็นดอยสูงที่ติดกับ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ของประเทศไทย เป็นที่พักพิงของชนกลุ่มน้อยไทยใหญ่ SSA ที่มีเจ้ายอดศึกเป็นผู้นำ

กลุ่มดอยนี้เป็นดอยสูง ที่น่าจะมากกว่า 1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งเหมาะแก่การปลูกฝิ่นมาก เทือกเขานี้ลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงามถ้ามองจากดอยไตแลง ผู้สรรหายุทธภูมินี้ถือว่าสุดยอด เพราะกว่าพม่าจะขึ้นมาตีได้ก็หืดขึ้นคอ เพราะเป็นที่สูงมาก ถ้าท่านผู้อ่านรู้เรื่องยุทธภูมิที่เขาค้อ ก็จะรู้ได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวยากแก่การเข้าตีเพียงใด สมัยโน้นกองพันบางกองพันไทยแทบจะละลายไปกับการเข้าตีฝ่ายคอมมิวนิสต์เลยทีเดียว ที่นี่ก็เช่นกัน พม่าเคยสนธิกำลังกับว้าเข้าตีดอยไตแลง แต่ไม่แตก ที่ไม่แตกเพราะนอกจากเป็นยุทธภูมิที่เข้าตียากแล้ว ยังมีกองทัพไม่ปรากฏสัญชาติช่วยไทยใหญ่ด้วย

Sunrise ที่ดอยไตแลง

แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันดีกว่า เพราะหลังจากนี้ไป ผมเชื่อว่าพม่าจะสงบลง เพราะรัฐบาลพม่ารับข้อเสนอของฝ่ายต่อต้านแทบจะทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเรื่องการหยุดยิงและร่วมมือกันในด้านต่างๆ เหลืออยู่เพียงการเจรจากันว่าจะร่วมกันสร้างประชาธิปไตยในพม่าอย่างไร และจะว่ากันถึงแยกรัฐปกครองกันหรือเปล่า เพราะความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ของแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายนั้น นอกจากจะแตกต่างกันออกไปแล้ว ยังจะต้องว่ากันด้วยเรื่องแยกรัฐหรือไม่แยกรัฐปกครองอีกต่างหาก

ความสวยงามของเทือกเขาดอยไตแลงที่ต่อกับไทยที่ปางมะผ้านั้นหาดูที่ไหนได้ยาก เพราะมีการตัดถนนขึ้นไปบนเขาสูงมากๆ แม้ว่าตอนนี้จะเต็มไปด้วยดินฝุ่น แต่ในโอกาสข้างหน้าผมเชื่อได้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้ไม่ยาก เพราะไม่ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก จะไปดูดาวสาวเดือนกับใครก็โรแมนติกไปหมด ยิ่งเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ของชนชาติไตด้วยแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยว่าพื้นที่นี้จะกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของพม่าที่ติดกับชายแดนไทยไม่แพ้แม่สลองเลย

เหนือไหล่เขาที่เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ยืนต้นในวันก่อน วันนี้มีบ้านผู้คน ที่พัก ที่ฝึกทหาร และที่ทำการกองกำลังเรียงรายเต็มไปหมด มันสงบในวันปกติ แต่ไม่ใช่ช่วงที่มีการจัดงานวันชาติเพื่อแสดงแสนยานุภาพและเพื่อการพีอาร์กองทัพ เพราะบ้านทุกหลังจะเดือดร้อนไปด้วยฝุ่นมากมาย แต่ความเดือดร้อนดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนที่ “มีชีวิตเปื้อนฝุ่น” เหล่านั้นท้อถอยที่จะได้มาซึ่งการปกครองตนเองกันแต่ประการใด เพราะการมีบ้านที่อยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ของกองกำลังที่มีภาษาและวัฒนธรรมอันเดียวกัน ถึงแม้จะเปื้อนฝุ่นไปบ้าง แต่ก็เป็นสุขกว่าการถูกไล่ล่าไม่ใช่หรือ?

Sunrise ที่ดอยไตแลง

พระอาทิตย์ของที่นี่ ทะเลหมอกของที่นี่อาจจะไม่มีชื่อเสียงหรือมีคนมาเที่ยวดูเท่าหลายๆ แห่งในเมืองไทย แต่ดูจากภูมิประเทศและดูจากรูปที่เขาถ่ายเป็นปฏิทินโดยช่างภาพฝีมือไม่ดีเท่าไหร่แล้ว ผมว่าหลายแห่งในเมืองไทยกินดอยไตแลงลำบาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลังจากพม่าสงบจากการสร้างประชาธิปไตยร่วมกันแล้ว ดอยแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนำรายได้มาให้ชนชาติไทยใหญ่กลุ่มนี้ได้อย่างมากมายยิ่งกว่าแม่สลอง โดยมีสินค้าหลักคือ กาแฟ และชา รวมถึงผลไม้เมืองหนาวอื่นๆ อีกด้วย

ผู้รับผิดชอบบางคนปรารภกับผมว่า ต่อไปในอนาคต เมื่อบ้านเมืองสงบลงแล้ว ที่นี่จะเปิดการท่องเที่ยวร่วมกับไทยอย่างแน่นอน ผมสอบถามมาทางไทยแล้วก็พบว่า มีการเจรจากันจริง แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมว่าปัญหาพม่าในอนาคตอาจจะน้อยลง ปัญหาอยู่ที่การเมืองภายในประเทศไทยมากกว่า

อากาศที่นั่นหนาวเย็นยามผมไปเยือน นายทหารท่านหนึ่งกล่าวว่า สมัยที่เพิ่งมาเริ่มตั้งกองกำลังกันใหม่ๆ หน้าร้อนเดือน เม.ย. ก็ยังสั่นกันงั่กๆ แล้ว ตอนนี้อากาศก็ดีตลอดไป เพราะล้อมรอบไปด้วยป่าดั้งเดิม ผมไปช่วงหน้าหนาว ซึ่งแม้ว่าจะไม่หนาวมาก แต่บนยอดเขาก็มีลมแรง ทำให้พรรคพวกที่ไปดูลิเกและดนตรีไทยใหญ่ต้องหนาวสั่นอยู่บนยอดเขา ส่วนผมอาหารเป็นพิษ ก็เลยต้องอาเจียน ถ่ายท้องอยู่ตามลำพังที่บ้านพักในหุบเขา หลังจากนั้นก็นอนพะงาบๆ อยู่คนเดียว

Sunrise ที่ดอยไตแลง

เป็นเรื่องแปลกสำหรับผม สมัยก่อนไปโครงการดอยตุง 2 หรือโครงการพัฒนาพื้นที่พม่าที่หย่องข่าแล้ว คุณชายดิศนัดดา ดิศกุล ท่านกรุณาชวนผมไปตระเวนรัฐฉาน พื้นที่ปลูกฝิ่นพม่ากับท่านหลายต่อหลายวัน วันหนึ่งผมไปกินอาหารยำหรืออะไรไม่ทราบที่ร้านค้าในเมืองหนึ่งที่มีตลาดค้าขายฝิ่นดิบ กินเข้าไปคนอื่นไม่เป็นอะไร แต่ผมทั้งอาเจียนทั้งถ่ายตามทางแบบหมดไส้หมดพุง คือมีสภาพคล้ายกับวันนี้ไม่มีผิด ผมสงสัยว่าอาหารหมักบางอย่างของไทยใหญ่คงไม่ถูกกับกระเพาะของผมแน่ วันหน้าวันหลังผมจะไม่กินอะไรสะเปะสะปะอีกแล้ว

คราวนี้แม้จะได้กินดีอยู่ดี เพราะน้องไชยวัฒน์ของผมมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกองกำลัง SSA เหล่านั้น แต่การกินดีอยู่ดีก็ใช่ว่าจะไม่ท้องเสียนะครับ แต่ท้องเสียก็ดี เพราะทำให้กระเพาะได้ทำความสะอาด เสียอย่างเดียวคือ อาเจียนจนปวดคอ ปวดหลัง ไปหมด เพราะการโก่งคอขย้อนเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมานั่นแหละ

ผมนำภาพมาให้ท่านดูเป็นตัวอย่างก่อนครับว่าสวยอย่างไร ที่ผมถ่ายนั้นสวยไม่เท่าของจริงนะครับ แต่ความสวยดังกล่าวสมัยโน้นเจือปนไปด้วยความตายของผู้คนทั้งผู้รุกและผู้รับ ซึ่งต่อไปในอนาคต บริเวณนี้จะกลายเป็นดินแดนที่ผู้คนทั้งสองฝ่ายไปมาหาสู่เพื่อรำลึกความหวังอย่างแน่นอน ยกเว้นจะมีมือที่สามเข้าไปแทรกแซงในการสร้างชาติบ้านเมืองของเขาด้วยความริษยานั่นแหละ

Sunrise ที่ดอยไตแลง

วันชาติปีนี้เป็นปีที่ 65 ของกองกำลัง SSA (Shan State Army) ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมทำข่าวใหม่ๆ มี “เจ้ากอนเจิง” แขนเดียวเป็นผู้นำ หลังจากสนธิกำลังกับขุนส่าราชายาเสพติดอยู่นานก็แตกกัน ขุนส่าเข้าไปร่วมกับพม่า ไม่ยอมรบต่อ เพราะมีผู้นำหลายคนไปเจรจาสงบศึกก่อนหน้านั้น หลังจากนั้นเจ้ายอดศึก ผู้มาจากลูกหลานชาวนาก็ขึ้นมาแทนที่ เจ้ายอดศึกเป็นคนมีอัธยาศัยดี เคยบวชเรียนเป็นพระมาก่อน มาอยู่ในไทยนานแบบเดียวกับโฮจิมินห์ วันนี้เจ้ายอดศึกกลายเป็นขวัญใจของคนไทยใหญ่เช่นเดียวกับกองกำลังไทยใหญ่อีกพวกหนึ่งที่มีกองกำลังอยู่ตอนกลางของรัฐฉาน ผมเคยมีโอกาสไปคุยกับกองกำลังนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว

ผมเห็นคนที่มาพบปะกับเจ้ายอดศึกมาจากหลายชาติหลายภาษา วันนี้ถนนทุกสายกำลังตัดเข้าหาชนกลุ่มน้อย เพราะต่อไปชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นก็จะมีบทบาทในทางการเมืองในพม่าไม่แพ้พม่าที่เป็นฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นการเข้าหากันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพ่อค้านักธุรกิจ แต่ผมว่าเจ้ายอดศึกคงไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้มากนัก เพราะท่านพูดกับผมว่าหัวใจท่านมีแต่เรื่องบ้านเมือง

ท่านพูดถูกใจผมอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมีการเมืองก็มีทุกอย่าง เหมาเจ๋อตง ก็เคยพูดว่า ถ้ามีการเมือง ก็เหมือนมีทหารทั้งกองทัพ มีทหารทั้งกองทัพ แต่ไม่มีการเมือง ก็เหมือนไม่มีทหารเลย

ผมเห็นแล้วว่ากองกำลังต่างๆ ในพม่าต่างล้วนแต่มีการเมือง จึงมีกองทัพ ส่วนประเทศไทยผมเห็นกองทัพไทยมีกำลังพลมากมาย แต่การเมืองของกองทัพผิดเพราะไปสนับสนุนระบอบเผด็จการ วันนี้แม้ว่าการเมืองของนักการเมืองไทยไปไม่รอดแล้ว แต่กองทัพก็ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้ ที่ไม่ได้เพราะทหารไทยรู้แต่ “วิชาการทหาร” แต่ไม่รู้ “วิชาการเมือง” กันเลย เมื่อไม่รู้วิชาการเมือง ต่อให้การเมืองไทยตกต่ำอย่างไร ทหารก็พาชาติบ้านเมืองออกไม่ได้ ถ้าทหารจะพาบ้านเมืองออกไปให้ได้ ถ้าไม่รังเกียจว่าผมเป็นนักข่าวกระจอกๆ ก็มาถามผมได้ เพราะอย่างน้อยผมก็เรียนวิชาการเมืองมา ส่วนถามผมแล้วท่านจะเอาไปปฏิบัติตามหรือไม่ ผมไม่ว่า ที่ไม่ว่าก็เพราะเป็นเรื่องใครทำ ใครได้

ไปทำสารคดีครั้งนี้ ผมงี้อายพม่าจริงๆ อะไรวะ!... เราตกชั้นทางการเมืองอีกแล้วหรือนี่!

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา