พระครูพิศาลจริยาภิรม หรือพระหมาสุรศักดิ์ อติสกุโข
วันที่ 2 ต.ค. 2554 มีพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงเป็นวันชุมนุมพระเกจิดังจำนวนมาก
วันที่ 2 ต.ค. 2554 มีพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงเป็นวันชุมนุมพระเกจิดังจำนวนมาก
โดย...สมาน สุดโต
วันที่ 2 ต.ค. 2554 มีพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงเป็นวันชุมนุมพระเกจิดังจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีพระเกจิดังจากเมืองอัมพวารูปหนึ่ง ยังหนุ่มแต่ฉันหมากปากแดง มีเชี่ยนหมากวางใกล้ตัวเป็นประจำ ท่านคือพระครูพิศาลจริยาภิรม หรือที่คนคุ้นเคยมักเรียกว่าพระมหาสุรศักดิ์ (อติสกฺโข) เจ้าอาวาสวัดประดู่ พระอารามหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่ร่วมนั่งปรกด้วยรูปหนึ่ง
ประวัติย่อวัดประดู่
ข้อมูลจากเว็บไซต์มีว่า วัดประดู่ (พระอารามหลวง) ต.วัดประดู่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นวัดเก่าแก่ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต่อมาในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสต้นทางชลมารค มาที่วัดนี้ สมัยที่ หลวงปู่แจ้ง เป็นเจ้าอาวาส ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในหลวงปู่แจ้งมาก และได้ถวายสิ่งของต่างๆ ให้แก่หลวงปู่ เช่น เรือเก๋งพระที่นั่ง พระแท่นบรรทม ตาลปัตร ปิ่นโต สลกบาตร ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันทางวัดได้สร้างพิพิธภัณฑ์พระราชศรัทธา ร.5 และได้เก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานหุ่นรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ใน จ.สมุทรสงคราม หลายท่านด้วยกัน อาทิ หลวงพ่ออ้น วัดบางจาก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม หลวงพ่อใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ หลวงพ่อคลี่ วัดประชาโฆสิตาราม สมเด็จพระธีรญาณมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เจ้าคณะภาค 1
หุ่นรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์เหล่านี้สร้างด้วย “ดินสอพอง” โดยหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเป็นผู้ปั้นขึ้นเอง นับเป็นหุ่นรูปเหมือนที่ใช้วัสดุในการสร้างไม่เหมือนกับที่อื่นใด
นอกจากหุ่นปั้นดินสอพองแล้ว ในพิพิธภัณฑ์ยังมีพระรูปเหมือนรัชกาลที่ 5 แกะสลักจากไม้หอม ซึ่งผู้ที่เข้าภายในพิพิธภัณฑ์จะได้กลิ่นหอมตามธรรมชาติของเนื้อไม้อบอวลตลอดเวลา
กล่าวสำหรับ หลวงปู่แจ้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าสามารถมาก จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลอง ลูกศิษย์ของท่านที่มีชื่อเสียง คือ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่แจ้งอย่างครบถ้วน
ในสมัยต่อมา หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ได้เดินทางไปขอเรียนวิชาอาคมของหลวงปู่แจ้ง จาก หลวงปู่ยิ้ม อีกทอดหนึ่ง (สมัยนั้นลูกศิษย์สำคัญอีกท่านหนึ่งของหลวงปู่ยิ้ม ก็คือ หลวงปู่เปลี่ยน วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) จ.กาญจนบุรี)
พระมหาสุรศักดิ์
ก่อนนั่งปรกผมได้กราบและพูดคุยกับพระมหาสุรศักดิ์ หรือ พระครูพิศาลจริยาภิรม ท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่อง เช่น ประชาชนชาวบ้าน ข้าราชการ พ่อค้า จะไปกันแน่นวัดในวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อกราบไหว้บูชา และขอของดีจากท่าน
ของที่ประชาชนต้องการคือเครื่องรางของขลัง เมตตามหานิยม และเรื่องลี้ลับต่างๆ เพราะท่านเล่าเรียนสิ่งเหล่านี้จากครูอาจารย์ที่ดังๆ หลายท่าน และหลายสำนัก โดยท่านบอกว่าที่มีโอกาสเรียนจากครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากนั้น นอกจากเป็นผู้ใฝ่รู้แล้ว ยังได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ท่านได้ร่ำเรียนอีกด้วย
เช่นเรียนคาถาอาคมจากครูนาคและหลวงปู่หยอด เรียนตะกรุดมหาระงับปราบหงสา จากหลวงพ่อพระครูสุนทรธรรมกิจ เรียนเบี้ยแก้กับหลวงพ่อเจือ เรียนเป่าทองจากหลวงปู่วิชัย และเรียนนะปัดตลอดกับหลวงปู่จ่าง เป็นต้น
ท่านเล่าประสบการณ์การเรียนเป่าทองจากหลวงปู่วิชัย วัดเขาหงส์ ลพบุรี ว่า เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เอาทองเปลวแปะไว้ที่ฝ่ามือ ภาวนา คาถาแล้วเป่า ทองจะเข้าไปในตัวตามจุดที่ต้องการ ทองหายไปโดยไม่ได้ขยี้ หรือใช้สารเคมีให้หายไป ท่านบอกว่าท่านเคยทำได้เมื่อเรียนกับอาจารย์ แต่พอกลับมาวัดแล้วทำไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร
ขอให้มีเมตตาคนอื่น
ท่านเล่าว่าคนไปหาท่านทุกวัน แต่จะมากในวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งมาขอ ของเมตตา ท่านตั้งข้อสังเกตว่าคนส่วนมากมาขอของที่ต้องการให้คนอื่นๆ แสดงความเมตตาต่อตนเอง หรืออยากให้คนอื่นเห็นแล้วเมตตา
ส่วนของของท่านที่ให้แต่ละบุคคลไปแล้ว ผู้รับต้องมีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะท่านสังเกตว่าตลอดเวลาที่คนมาหาและขอของจากท่าน มักจะขอของที่ให้คนอื่นเมตตา
ท่านบอกว่าที่คนต้องการให้คนอื่นเมตตาเพราะส่วนใหญ่แล้วคนเรามองว่าตัวเองสำคัญที่สุด เห็นตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเกิดความเห็นแก่ตัว ใครพูดให้ไม่พอใจไม่ถูกใจจะโกรธ และอาฆาตเขา พยาบาทเขา เพราะเห็นตัวเองสำคัญ เกิดมานะทิฏฐิตรงนี้
แต่ถ้าเราเห็นคนอื่นสำคัญกว่าตัวเราเองบ้าง จะทำให้เราลดมานะทิฏฐิได้ ทำให้เกิดไมตรีต่อกัน ทำให้เรามีจิตไมตรีต่อเขา
เมื่อเกิดจิตไมตรีต่อเขา เขาก็จะเกิดไมตรีตอบโดยให้คิดว่าคนทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา มาหาเรา เหมือนโยมที่สัมภาษณ์ฉันนี้ ก็เคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้อง คนที่เรามีความรัก มีความเป็นห่วง มีความเมตตาสงสารเขา มันก็เกิดความเป็นไมตรีต่อกัน
เมื่อมีไมตรีต่อกัน การคิดร้ายและมีอคติก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อความอย่างนี้ไม่เกิดขึ้นสิ่งที่เกิดคือความร่มเย็นเกิดความสบายใจด้วยกันทั้งคู่
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็จะประทับใจกันทั้งหมด ไม่ว่าจะทำกิจการอะไร เป็นพ่อค้า แม่ขายกิจการต่างๆ ถ้าหากลูกน้องหรือเจ้านายมีความคิดอย่างนี้ ก็จะเกิดความร่มเย็นขึ้น มีกำลังจิต กำลังใจทำงาน แล้วจะมีความสุขด้วยกันทั้งหมด
พระเกจิอาจารย์หนุ่มบอกว่า ส่วนใหญ่ฉันอธิบายให้เขาฟังอย่างนี้ ชาวบ้านก็รับได้ และเราก็ให้เขาตามธรรมเนียมอยู่ดี เขาไปแล้วกลับมาอีก เพราะเขาได้ฟังความจริงตามธรรมชาติ บางคนมาคุยแล้ว บอกว่าได้ความสบายใจและความเข้าใจ
ข้อคิดและหลักธรรม
บางคนต้องการข้อคิดอะไรต่างๆ ซึ่งหน้าที่ของหลวงพ่อ ได้พยายามทำตามเหมือนที่บูรพาจารย์ทำไว้ กล่าวคือพระในพุทธศาสนานี้ เหมือนคนปรุงอาหาร ต้องทำเป็นทุกอย่าง เขาจะทานอะไรจัดให้ได้ตามต้องการ คนมาหาเราอยากได้อะไร ก็จะให้ตามที่ตั้งใจ ให้เขาบรรลุเป้าหมายได้
พระครูพิศาลจริยาภิรม หรือพระมหาสุรศักดิ์ อติสกฺโข เป็นพระเกจิที่เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค ศิษย์เก่าวัดปทุมคงคา เป็นญาติกับพระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา อุปสมบทที่วัดปทุมคงคา โดยมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารี ป.ธ. 9) วัดปทุมคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์
สุดท้ายท่านแนะนำให้ชุมชนมีเมตตาสามัคคีกันว่า ต้องทำจิตใจเราให้เบิกบานแช่มชื่นเสมอ จะคลายทุกข์คลายกังวลได้ ต้องยิ้มไว้เสมอ เมื่อพบกันยิ้มให้ ทักเขาก่อน เรียกเขาก่อน อย่างแกล้งทำมองไม่เห็น ทั้งต้องชมผู้อื่นไว้เสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เมื่อทำแบบนี้จะเกิดสภาวะเป็นมิตรต่อกัน ความสามัคคีก็จะเกิดในหมู่คณะ เราก็มีความสุขสบาย ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จดี
ความเห็นจาก จจ.สมุทรสาคร
เมื่อผมพบกับพระเทพสาครมุนี (สมบูรณ์ ปญฺญาวุโธ ป.ธ. 9) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดเจษฎาราม เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2554 ท่านเล่าความพิเศษของพระครูพิศาลจริยาภิรม หรือพระมหาสุรศักดิ์ อติสกฺโข ว่าพระเกจิหนุ่มรูปนี้มีเชี่ยนหมากวางข้างตัวเป็นสัญลักษณ์ เพราะท่านฉันหมากตลอด เป็นพระที่มีความสามารถพิเศษ เช่น ให้ช่างมาปั้นรูปสุนทราภรณ์ หรือครูเอื้อ สุนทรสนาน ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นชาวแม่กลอง เพื่อตั้งไว้เป็นที่ระลึกและเคารพของประชาชนชาวแม่กลอง แต่ช่างปั้นทำไม่ถูกใจ ท่านจึงลงมือปั้นเองและทำได้ดีมาก เป็นรูปปั้นด้วยดินสอพอง ใหญ่เท่าตัวจริง ประดิษฐานอยู่ที่วัดประดู่ทุกวันนี้ นอกจากรูปปั้นสุนทราภรณ์แล้ว ท่านยังปั้นบรรดาพระอาจารย์ของท่าน เช่น สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ) ที่เป็นอุปัชฌาย์ หลวงปู่หยอด พระเกจิอาจารย์ดังแห่งสมุทรสงคราม เป็นต้นให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา
ของ ร.5 พระราชทาน
คุณวสันต์ อยู่กำเนิด ศิษย์ท่านมหาสุรศักดิ์ คนวัดประดู่ บอกว่าสิ่งของมีค่าที่วัดประดู่ที่ทุกคนไม่ควรพลาดชมพิพิธภัณฑ์วัดประดู่ เพราะเป็นที่เก็บของเก่าทรงคุณค่าของวัด ได้แก่ของที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานให้หลวงปู่แจ้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ เช่น ปิ่นโตเถาใหญ่ ตาลปัตร ย่าม และตู้นาฬิกาปารีส ตะเกียงเจ้าพายุ เก๋งเรือรัชกาลที่ 5 พระแท่นบรรทม เป็นต้น
นี่คือความพิเศษแห่งวัดประดู่ และพระครูพิศาลจริยาภิรม หรือพระมหาสุรศักดิ์ อติสกฺโข อายุ 50 ปี เกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งในปัจจุบัน ที่ต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชม และกราบไหว้ m


