posttoday

แม่ของเมิ่งจื่อ

09 สิงหาคม 2558

เมิ่งจื่อคือปราชญ์นักคิดคนสำคัญแห่งยุคจ้านกว๋อของจีน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

เมิ่งจื่อคือปราชญ์นักคิดคนสำคัญแห่งยุคจ้านกว๋อของจีน (กว่า 2,000 ปีมาแล้ว) ถือเป็นศิษย์ทางความคิดของขงจื๊อ ที่แตกแขนงต่อยอดความคิดได้อย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้อาจารย์

เมื่อเมิ่งจื่อยังเล็ก มีแต่แม่คอยเลี้ยงดู ด้วยเพราะกำพร้าพ่อ ตัวแม่ของเมิ่งจื่อจึงต้องเป็น Single Mom ทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทอผ้า

แม่ของเมิ่งจื่ออดทนขยันขันแข็งในการงาน แม้ไม่มีเวลามากพอที่จะมาดูแลเมิ่งจื่อด้วยตัวเอง แต่ในหัวของนางนั้น ยังต้องการให้ลูกได้ดิบได้ดีและนี่คือวิสัยทัศน์ของแม่เมิ่งจื่อ

เมิ่งจื่อและแม่อาศัยอยู่ในชุมชนๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้สุสาน มักจะมีขบวนพิธีกรรมฝังศพผ่านไปมา เด็กน้อยเมิ่งจื่อเห็นแล้วก็มักนำมาเลียนแบบ ให้เพื่อนๆ ทำตัวเป็นศพ ตัวเขาทำท่าทางร้องห่มร้องไห้ เล่นกันสนุกสนาน แม่ของเมิ่งจื่อเห็นว่าอีกหน่อยถ้าลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่ดี ท่านไม่ได้ว่ากล่าวอย่างใด แต่ตัดสินใจย้ายบ้านไปที่อื่น

ครั้งนี้บ้านของเมิ่งจื่อย้ายมาอยู่ใกล้ตลาดสด ไม่นานนัก เมิ่งจื่อก็เริ่มเล่นเลียนแบบพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด เอาใบไม้ใบหญ้ามาแทนเนื้อ เอากิ่งไม้มาแทนมีด เล่นเป็นพ่อค้าซื้อขายเนื้อกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนานอีกเช่นเคย

แม่ของเมิ่งจื่อคงเริ่มรู้ว่าลูกของตนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด ก็จะคล้อยตามเลียนแบบสิ่งนั้น แม่ของเมิ่งจื่อไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นพ่อค้าในตลาด จึงตัดสินใจย้ายบ้านอีกครั้ง

ครั้งนี้บ้านของเมิ่งจื่ออยู่ใกล้โรงเรียน เสียงท่องตำราดังอึงรอบๆ อยู่ตลอดเวลา เมิ่งจื่อก็เพลิดเพลินอยู่กับการเลียนแบบการท่องตำรา มักจะไปนั่งดูบรรดานักเรียนเรียนหนังสือ แม่ของเมิ่งจื่อยินดียิ่งเห็นว่าลูกเมิ่งคงจะมีอนาคตสดใส

ไทยว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล จีนว่า อยู่ใกล้ชาดแดงย่อมแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมดำ   แม่ของเมิ่งจื่อ

นักวิทยาศาสตร์ว่า mirror neurons ในสมองกำลังทำงาน คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนขยันจึงขยันมากขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผู้คนมีระเบียบวินัยจึงมีวินัยมากขึ้น สภาพแวดล้อมช่วยผลักดันบุคลิกภาพของปัจเจกได้

ผ่านไปไม่นาน เมิ่งจื่อเบื่อหน่ายโรงเรียน โดดเรียนออกมาเที่ยวเล่นตามเพื่อน แม่ของเมิ่งจื่อรู้เข้า เสียใจยิ่งนัก เมื่อได้เจอเมิ่งจื่อ จึงจูงเมิ่งจื่อมาข้างกี่ที่ตนทอผ้าอยู่ แล้วบอกกับเมิ่งจื่อว่า

“เจ้าเห็นแก่เล่นสนุก ไม่รักการเรียน ก็เหมือนกับผ้าที่ทอแค่ครึ่งทาง ผ้าที่ทอได้แค่ครึ่ง จะตัดเป็นเสื้อผ้าก็ไม่ได้ เจ้าร่ำเรียนแต่ไม่ตั้งใจแน่วแน่ อีกหน่อยก็จะเป็นบัณฑิตไม่ได้” พูดจบเสียง “ฉับ” จากกรรไกรในมือแม่ก็ตัดผ้าที่กำลังทออยู่ขาดลงครึ่งหนึ่ง

เมิ่งจื่อตะลึงยิ่งนัก เกิดมาก็เห็นแม่วุ่นอยู่กับการตั้งใจทอผ้าที่ค่อยๆ กลายเป็นผืน มาบัดนี้ ไม่ตีไม่เฆี่ยน แต่ตัดผ้าซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของแม่เพื่อเปรียบเทียบความไม่ตั้งใจของตน จึงสะเทือนใจ คำสอนนี้ของแม่ฝังใจเมิ่งจื่อตลอดจากนั้นเรื่อยมา เด็กน้อยเมิ่งจื่อจึงกลับมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน

คำว่า “แม่เมิ่งย้ายบ้านสามครา” หรือ “เมิ่งจื่อย้ายบ้านสามครา”  แม่ของเมิ่งจื่อ   และ “แม่เมิ่งตัดผ้าทิ้ง” แม่ของเมิ่งจื่อ  กลายเป็นคำพังเพยที่ใช้สอนให้เห็นความสำคัญของการมีสิ่งแวดล้อมในชีวิตที่ดี ความสำคัญของการศึกษา และความสำคัญของการได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากแม่ตั้งแต่ยังเยาว์วัย

อีกครานึงข้างบ้านเมิ่งจื่อเชือดหมู เสียงลับมีดเสียงหมูร้อง ทำให้เด็กน้อยเมิ่งจื่อสงสัย ถามแม่ว่า “ข้างบ้านทำอะไรครับแม่” แม่เมิ่งจื่อวุ่นๆ อยู่ จึงตอบสั้นๆ ว่า “ฆ่าหมู” “ฆ่ามันทำไมครับแม่” เมิ่งจื่อถาม แม่เมิ่งจื่อตอบแบบขอไปทีว่า “ฆ่าให้ลูกกินไง”

เมื่อแม่เมิ่งจื่อนึกได้ภายหลังรู้สึกเสียใจ ตั้งแต่ยังอุ้มท้องลูกคนนี้ ตนตั้งใจให้ลูกคนนี้ซื่อสัตย์ ทำอะไรให้ถูกต้อง ถึงขนาดเมื่อคราวลูกอยู่ในท้อง จะนั่งเบาะต้องวางให้ตรง ชิ้นเนื้อตัดไม่ตรง ยังไม่ยอมทาน

ส่วนตอนนี้เด็กน้อยเมิ่งจื่อเริ่มรู้ความแต่ตนกลับมาพูดจาหลอกลูกซะเอง ถ้าปล่อยไป ก็เท่ากับว่าสอนให้เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อคำพูดดังนั้นจึงยอมตัดใจไปซื้อเนื้อหมูที่ข้างบ้านเชือดเมื่อครู่ให้ลูกทาน เพื่อให้เป็นไปตามที่ตนได้พูดกับลูกไว้

นอกจากแม่ของเมิ่งจื่อจะเห็นความสำคัญของสภาพแวดล้อม แม่ของเมิ่งจื่อยังรู้ด้วยว่า แท้ที่จริงตนเองก็เป็นสภาพแวดล้อมหนึ่งของลูก แม่จะพร่ำสอนให้ได้ผล ก็เมื่อแม่ต้องทำตามที่ตัวเองสอนเป็นตัวอย่าง

สอนเด็กต้องสอนด้วยพฤติกรรมด้วย ไม่ใช่สอนด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว

เมื่อครั้งเมิ่งจื่อโตขึ้น มีภรรยา (ซึ่งเมิ่งจื่อคงยังไม่ได้อายุมากนัก เพราะวิถีชีวิตคนยุคก่อนแต่งงานมีครอบครัวกันเร็ว) เมิ่งจื่อไม่ค่อยชอบพอภรรยาตัวเองนัก ด้วยเห็นว่าเป็นคนไม่เรียบร้อย วันหนึ่งอากาศร้อนอบอ้าว ภรรยาทำงานจากท้องไร่ท้องนาเสร็จ จึงกลับเข้าบ้าน เมื่อเข้ามาในห้องแล้วจึงถอดเสื้อผ้านั่งอ้าซ่าตามสบายเพื่อคลายร้อน ด้วยความบังเอิญเมิ่งจื่อกลับเข้ามาในบ้านเช่นกัน เปิดประตูเดินเข้าห้อง เห็นภรรยาเปลือยกาย นั่งอล่างฉ่างตากลมอยู่ในห้อง รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ มีความคิดที่จะเลิกกับภรรยาคนนี้เสีย ภายหลังแม่ของเมิ่งจื่อรู้เข้าจึงเรียกเมิ่งจื่อไปอบรม

“เจ้าเพ่งมองแต่ความไม่เหมาะสมของคนอื่น ส่วนตัวเจ้าเองเดินเข้าห้องไปโดยไม่เคาะประตูให้คนในห้องรู้ ใครกันแน่ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมก่อน!”

เมิ่งจื่อสำนึกและเห็นจริง จึงละเลิกความไม่ชอบพอต่อพฤติกรรมของภรรยา

แม่ของเมิ่งจื่อรักลูกชายก็จริง แต่เป็นความรักที่ไม่ได้เข้าข้าง แต่เป็นความรักที่อยากให้เมิ่งจื่อเป็นคนดี มีคุณธรรม แม่ของเมิ่งจื่อไม่ได้มีความรู้ แต่ก็ตั้งใจบ่มเพาะสั่งสอนเมิ่งจื่อผ่านชีวิตประจำวันแล้วแม่ของเมิ่งจื่อก็ได้ลูกที่สมใจเมิ่งจื่อกลายเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคจ้านกว๋อ และเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมจีน

แม่คือสถานะ ภาระ และหน้าที่ ที่เกิดมาพร้อมๆ กับสิ่งมีชีวิตและอยู่คู่กับมนุษยชาติ เรื่องราวแม่ของเมิ่งจื่อเกิดเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็ยังเป็นที่ประทับใจชาวจีนเรื่อยมา ในวันแม่ของชาวจีนทุกวันนี้ เรื่องราวแม่ของเมิ่งจื่อก็ยังถูกยกให้เป็นตัวอย่างของแม่ที่ดี

แม่ซึ่งแม้ไม่ได้มีเวลาดูแลลูกๆ ทั้งวัน แม่ซึ่งต้องหาเลี้ยงครอบครัวทั้งครอบครัว แม่ซึ่งไม่ได้ดูแลเพียงร่างกาย แต่ดูแลทั้งการศึกษาและคุณธรรมการใช้ชีวิตของลูก

มีคำพูดว่า “ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ ย่อมมีผู้หญิงที่ดีอยู่เบื้องหลัง” หลายๆ คนเห็นว่านี่เป็นคำเตือนในการเลือกภรรยา แต่สำหรับเมิ่งจื่อและหลายๆ คนแล้ว “แม่” คือผู้หญิงคนสำคัญที่เป็นผู้นำทางชีวิตของลูกๆ ให้ประสบความสำเร็จ

นี่คือเรื่องราวที่น่าสนใจของ “แม่” ของเมิ่งจื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ไม่เคยแม้จะบันทึกชื่อของเธอไว้

ข่าวล่าสุด

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ Smart City ต้นแบบ! เปลี่ยนขยะเป็น RDF สู่ Net Zero 2050