posttoday

หัวเว่ยลุยปั้นอีแบรนด์ ส่ง'ออเนอร์'ขายควบทำตลาดไทยผ่านออนไลน์จับคนรุ่นใหม่

30 มีนาคม 2561

หัวเว่ย ส่ง ออเนอร์ ปั้นอี-แบรนด์ รุกออนไลน์ควบออฟไลน์ ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นท็อปทรี ชูโมเดลทำตลาดยุโรปสำเร็จมาปรับใช้ในไทย

หัวเว่ย ส่ง ออเนอร์ ปั้นอี-แบรนด์ รุกออนไลน์ควบออฟไลน์ ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นท็อปทรี ชูโมเดลทำตลาดยุโรปสำเร็จมาปรับใช้ในไทย

นายอาคิน ลี ประธานออเนอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออเนอร์ ภายใต้หัวเว่ย กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้เข้ามาทำตลาดสมาร์ทโฟนแบรนด์ ออเนอร์ ในประเทศไทย โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 2 เม.ย.นี้ พร้อมทั้งวางเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งการตลาด 5% ในปีแรก และขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนเมืองไทยภายใน 3 ปีนับจากนี้ หรือในปี 2563

สำหรับแบรนด์ออเนอร์ เป็นแบรนด์โทรศัพท์ในเครือหัวเว่ย กรุ๊ป ปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟน อี-แบรนด์ ในประเทศจีน หรือเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซเป็นหลักด้วยสัดส่วน 70-80% และเป็นกลยุทธ์ที่ ออเนอร์จะนำไปใช้กับการทำตลาดทั่วโลก ด้วยการบุกเบิกผ่านช่องทางออนไลน์ การจัดกิจกรรมผ่านออนไลน์ แล้วจึงขยายไปยังช่องทางออฟไลน์

ปัจจุบัน ออเนอร์วางจำหน่ายแล้วใน 74 ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง และเริ่มบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้น เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย รวมถึงไทยเป็นประเทศล่าสุด

ทั้งนี้ ออเนอร์จะใช้กลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปมาปรับใช้กับประเทศไทย ด้วยการเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่ชอบนวัตกรรมใหม่ๆ กล้าทดลอง โดยจะชูกลยุทธ์ 4E ได้แก่ อี-มาร์เก็ตติ้ง เน้นการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ทุกช่องทางเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่, อี-คอมเมิร์ซ เพื่อจำหน่ายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง, อี-ดีเวลอปเมนต์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยศึกษาความต้องการของผู้บริโภคผ่านการสื่อสารทางออนไลน์ และอี-พาร์ตเนอร์ โดยเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ด้านธุรกิจออนไลน์

ขณะที่ในประเทศไทยจะเริ่มจากนำสินค้า 2 รุ่นเข้ามาทำตลาด ได้แก่ Honor 9 Lite ราคา 6,490 บาท และ Honor 7X ราคา 7,490 บาท เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2561 โดย Honor 9 Lite จะวางจำหน่ายที่ช้อปปี้ ส่วน Honor 7X จะวางจำหน่ายทางลาซาด้า จากนั้นจะเริ่มขยายช่องทางร้านค้าทั่วไป ตั้งเป้าช่วงแรกสัดส่วนจากออนไลน์ 80% ออฟไลน์ 20% จากนั้นจะเพิ่มเป็นเท่ากันที่ 50% รวมทั้งจะนำสินค้ารุ่นใหม่มาทำตลาดต่อเนื่อง  เน้นระดับราคา 3,000-8,000 บาท