ชี้เขมรไม่ง้อไทยเพราะมีจีน

แหล่งทุนใหญ่กว่าให้เงินกู้เพียบสีหนุอัดไทยอยากได้พระวิหาร

นักวิเคราะห์เผยฮุนเซนมั่นใจชนะไทยได้แน่ เชื่ออิทธิพลจีนหนุน

รอยเตอร์สเขียนรายงานกึ่งวิเคราะห์ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีท่าทีแข็งกร้าวในการเผชิญหน้ากับไทย เป็นผลมาจากสายสัมพันธ์ที่กัมพูชามีกับจีน และกัมพูชาไม่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากไทย เพราะมีแหล่งเงินทุนจากจีน ซึ่งเป็นนายทุนที่แข็งแกร่งกว่า อีกทั้งฮุนเซนยังฉวยโอกาสอาศัยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตัวเรียกคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนชาวกัมพูชาอีกด้วย

ไมเคิล มอนเทสซาโน นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ กล่าวว่า เมื่อไม่จำเป็นต้องพึ่งพาไทยอีกต่อไปนั้น ก็ส่งผลให้ฮุนเซนมีความมั่นใจที่จะยกประเด็นความขัดแย้งด้านพื้นที่ทับซ้อนขึ้นคุยในเวทีโลกมากขึ้น

“สายสัมพันธ์ที่กัมพูชาผูกไว้กับจีนและนักลงทุนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งสิงคโปร์ ทำให้บทบาทของฮุนเซนในเวทีนานาชาติเปลี่ยนไปจากเดิม” มอนเทสซาโน กล่าว

ด้าน จัน โสภณ ประธานสมาคมธุรกิจเอกชนในกัมพูชา กล่าวสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวโดยมองว่าสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศไทยสามารถหาทดแทนได้จากทั้งเวียดนาม จีน มาเลเซีย หรือเกาหลีใต้

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ธ.ค. 2553 กัมพูชาและจีนได้ทำข้อตกลงร่วมกันที่จะผลักดันการค้าระหว่างสองประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.7 หมื่นล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านเกษตรกรรม เหมือง และพลังงานน้ำ

นอกจากนี้ จีนยังได้ให้คำมั่นว่าจะให้กัมพูชากู้ยืมเงินอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9,242 ล้านบาท) เพื่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ รวมถึงเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศกัมพูชา

ขณะเดียวกัน สมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ผ่านอีเมลจากประเทศจีน กล่าวว่า ไทยไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และคอยจ้องที่จะหาโอกาสยึดปราสาทพระวิหารคืนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เตียบัณห์ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ประกาศกร้าวว่า มีอาวุธพร้อมต่อสู้กับไทย และย้ำว่าทหารไทยกลัวโดนทหารเขมรจับเป็น

อย่างไรก็ตาม แม้มูลค่าการลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชาจะไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับจีนหรือเกาหลีใต้ แต่ ปีเตอร์ บริมเบิล นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ และกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนอย่างแน่นอน