สหรัฐฯ โจมตีศูนย์นิวเคลียร์อิหร่าน ขู่ถล่มซ้ำหากไม่ยุติสงคราม
ทรัมป์ประกาศ สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีศูนย์นิวเคลียร์หลักของอิหร่านจน “ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง” เตือนเตหะรานหากไม่ยุติสงครามจะเผชิญการโจมตีเพิ่มเติม
วอชิงตัน – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงเมื่อค่ำวันเสาร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) ว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อศูนย์นิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่าน และเตือนว่าหากเตหะรานไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ จะต้องเผชิญกับการโจมตีเพิ่มเติม
การตัดสินใจของทรัมป์ในการเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลต่ออิหร่าน ศัตรูสำคัญในภูมิภาค ตอกย้ำถึงการยกระดับความขัดแย้งอย่างรุนแรง หลังจากที่มีการหารือภายในมาเป็นเวลาหลายวัน แม้ยังไม่ถึงเส้นตายสองสัปดาห์ที่เขากำหนดไว้เอง
“การโจมตีครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในทางทหาร” ทรัมป์กล่าวในการแถลงผ่านโทรทัศน์จากทำเนียบขาว “ศูนย์เสริมสมรรถนยูเรเนียมที่สำคัญของอิหร่านถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง”
ทรัมป์กล่าวเพียงสั้น ๆ ไม่ถึง 4 นาที โดยเน้นว่าอนาคตของอิหร่านจะมีเพียง “สันติภาพหรือโศกนาฏกรรม” เท่านั้น พร้อมเตือนว่ามีเป้าหมายอื่นอีกมากที่กองทัพสหรัฐฯ สามารถโจมตีได้ “หากสันติภาพไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เราจะดำเนินการต่อเป้าหมายเหล่านั้นด้วยความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ”
รายงานจากสื่อ CBS News ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ติดต่อทางการทูตไปยังอิหร่านในวันเสาร์ พร้อมยืนยันว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
“อิหร่านต้องยุติสงครามนี้ในทันที” ทรัมป์กล่าวย้ำ
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Reuters รายงานการเคลื่อนย้ายเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถบรรทุกระเบิดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพโจมตีไซต์นิวเคลียร์ฟอร์โดว์ (Fordow) ซึ่งตั้งอยู่ใต้ภูเขาทางตอนใต้ของกรุงเตหะราน ทั้งนี้ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวมีการเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ การประเมินผลกระทบของการโจมตีอาจใช้เวลาหลายวัน
เจ้าหน้าที่อิหร่านที่อ้างโดยสำนักข่าว Tasnim ยืนยันว่า มีการโจมตีไซต์ฟอร์โดว์จาก “การโจมตีทางอากาศของศัตรู” ขณะที่ฮัสซัน อาเบดินี รองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของสถานีโทรทัศน์แห่งชาติอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านได้อพยพบุคลากรออกจากทั้ง 3 ศูนย์ไปก่อนหน้านี้แล้ว และไม่มีสารกัมมันตรังสีใดหลงเหลืออยู่
“ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว ไม่มีวัตถุอันตรายต่อสุขภาพประชาชนเหลืออยู่” เขาระบุ
ด้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวชื่นชมทรัมป์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้กล้าหาญและเด็ดขาด” พร้อมระบุว่า “ประวัติศาสตร์จะจารึกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยับยั้งไม่ให้ระบอบการปกครองที่อันตรายที่สุดในโลกครอบครองอาวุธที่อันตรายที่สุด”
- ความพยายามทางการทูตล้มเหลว – ความตึงเครียดทวีความรุนแรง
การโจมตีของสหรัฐฯ มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งยกระดับสู่การสู้รบทางอากาศเป็นเวลาหลายวัน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในทั้งสองประเทศ
อิสราเอลเริ่มการโจมตีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน โดยกล่าวว่า อิหร่านใกล้จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จ ขณะที่อิหร่านยืนยันว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนมีเป้าหมายเพื่อสันติเท่านั้น
ความพยายามทางการทูตจากชาติตะวันตกเพื่อยุติความรุนแรงล้มเหลวลง โดยเลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูแตร์เรส เรียกการโจมตีเมื่อวันเสาร์ว่า “การยกระดับสถานการณ์ที่อันตรายในภูมิภาคที่ตึงเครียดอยู่แล้ว และเป็นภัยโดยตรงต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”
ภายในสหรัฐฯ มีเสียงวิจารณ์จากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน โดย ส.ส. โทมัส แมสซี ระบุว่า “นี่เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ขณะที่ ส.ส. อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ กล่าวว่า การกระทำนี้ “ชัดเจนว่าเข้าข่ายถอดถอน”
แม้ผู้สนับสนุนทรัมป์บางส่วนจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจ เช่น ชาร์ลี เคิร์ก ที่โพสต์บน X ว่า “อเมริกายืนอยู่ข้างประธานาธิบดีทรัมป์” แต่บางราย เช่น สตีฟ แบนนอน แสดงความกังวลว่าฐานเสียงสายอนุรักษนิยมอาจไม่เห็นด้วยกับการเข้าไปพัวพันสงครามต่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ทรัมป์ชี้แจงเพิ่มเติม
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของอิหร่านที่เผยแพร่โดยสื่อ Nour News ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 430 คน และบาดเจ็บกว่า 3,500 คนในอิหร่าน นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการ ขณะที่ในอิสราเอล มีผู้เสียชีวิตจากขีปนาวุธของอิหร่านแล้ว 24 ราย และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 1,200 คน
สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายในเร็ววัน ขณะที่นานาชาติจับตาด้วยความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะขยายเป็นสงครามในวงกว้าง


