ลาวเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จ่ายคืนหนี้พันธบัตรตามกำหนด

ภาวะเศรษฐกิจของสปป.ลาว ยังคงเผชิญกับสิ่งท้าทายหลายด้านต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินกีบ และสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน กลายเป็นแรงกดดันให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมของสปป.ลาว ในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิดอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล สปป.ลาว ได้บริหารจัดการงบประมาณอย่างจริงจัง ทำให้สัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ในปี 2022 ขาดดุลลดลง มายืนอยู่ที่ระดับ -0.30% เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ ประกอบกับมีการควบคุมงบประมาณรายจ่ายอย่างรัดกุม จนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 สปป.ลาวมีสัดส่วนการเกินดุลงบประมาณต่อ GDP อยู่ที่ระดับ 2.30% ขณะที่ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserve) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นมายืนอยู่ที่ระดับ 1,781.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกันยายน 2566 และรัฐบาลยังคงมีแผนที่จะเพิ่มและรักษาระดับของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีการเกินดุลทางการค้าอยู่ที่ 943 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่มีการลงทุนสูงเช่น โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการรถไฟฟ้าลาว-จีน โครงการทางด่วนเวียงจันทน์-บ่อเต็น เขตโลจิสติกส์นครหลวงเวียงจันทน์ ฯลฯ เริ่มทยอยแล้วเสร็จและอยู่ในช่วงดำเนินการและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว

นอกจากนี้ทางสปป.ลาว ได้จัดสรรแหล่งเงินทุนให้เพียงพอในการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศในแต่ละปี โดยมีการวางแผนการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ โดยใช้แหล่งเงินทุนจากสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้สถานการณ์ค่าเงินกีบที่อ่อนค่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการชำระหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศและการชำระคืนพันธบัตร

ล่าสุด กระทรวงการคลังสปป.ลาว ได้ชำระคืนพันธบัตรสกุลเงินบาทตรงตามกำหนดในวันที่ 18 และ 29 พฤศจิกายน 2566 มูลค่ารวม 3,610.30 ล้านบาท ได้อย่างครบถ้วนตามเงื่อนไข โดยที่ผ่านมาได้มีการชำระคืนพันธบัตรแล้วเป็นมูลค่ารวม 31,452.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของลาว อนุมัติเป้าหมายของรัฐบาลลาวที่ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 ในปี 2567 นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ของลาว ระบุว่า การทำให้อัตราเงินเฟ้อของลาว ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 9 ในปี 2567 จากอัตราเงินเฟ้อเกือบร้อยละ 30 ในปัจจุบัน ถือเป็นความท้าทายใหญ่หลวง เช่นเดียวกับเป้าหมายการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ดี ที่ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากเช่นกัน ขณะที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี (ADB) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของลาว จะเติบโตร้อยละ 4 ในปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงระดับสูงจนถึงสิ้นปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปี เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 28.