วิจัยเผย อุณหภูมิโลกพุ่งเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายใน 10 ปี

ตามข้อตกลงปารีสปี 2015 ประเทศต่างๆ ให้คำมั่นว่าจะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนืออุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่รายงานฉบับใหม่โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ซึ่งรวมถึง NASA และมหาวิทยาลัยโคลัมเบียชี้ว่า เป้าหมายนี้กลายเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม

ภายใต้คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ว่าจากสถานการณ์การปล่อยก๊าซส่วนใหญ่ คาดว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงทศวรรษ 2030

ขณะที่ James Hansen หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัย ทั้งยังเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกที่ออกมาส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 ถึงผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ให้ความเห็นว่า เป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นล้มเหลวจนไปต่อแทบไม่ได้ 

และหนึ่งในข้อบกพร่องของเราในฐานะนักวิทยาศาสตร์ คือ ไม่ได้ชี้แจงให้กลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองทราบอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ปัจจุบันอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นแล้วเกือบ 1.2 องศาเซลเซียสเหนืออุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม

รายงานฉบับใหม่นี้มีขึ้นหลังจากทั่วโลกเกิดสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายเดือน ตั้งแต่คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศจีนไปจนถึงน้ำท่วมหนักในลิเบีย ขณะที่ปี 2023 ถูกบันทึกว่าเป็นปีที่อุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ผลการวิจัยใหม่ ชี้ว่า นักวิทยาศาสตร์ประเมินสภาพอากาศของโลกต่อระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นต่ำเกินไป โดยความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นจาก 280 ppm ในยุคก่อนอุตสาหกรรม มาอยู่ที่ 417 ppm ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ จีนยังเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลกจากซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะที่ทั่วโลกพยายามจำกัดการปล่อยก๊าซดังกล่าว

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change แนะว่าโลกต้องบรรลุเป้าหมาย net zero ให้ได้ภายในปี 2034 จึงจะมีโอกาสราว 50% ที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้

ทั้งนี้ ประเทศต่างๆ จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศประจำปีของสหประชาชาติ หรือ COP 28 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน  เพื่อหารือถึงแนวทางและนโยบายต่างๆในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก