สหรัฐฯ ร่วมกับ G20 เตรียมเตรียมสร้างระบบรถไฟ และท่าเรือต่างๆ สกัดจีน

ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พยายามตอบโต้การผลักดันโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road ของจีนต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยเสนอให้วอชิงตันเป็นหุ้นส่วนทางเลือกและนักลงทุนสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่ม G20

ไบเดนกล่าวว่ามันเป็น “เรื่องใหญ่จริงๆ” ที่จะเชื่อมท่าเรือข้ามสองทวีป และนำไปสู่ ​​“ตะวันออกกลางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และบูรณาการมากขึ้น”

เขากล่าวในงานประกาศข้อตกลงว่าจะปลดล็อก "โอกาสที่ไม่มีที่สิ้นสุด" สำหรับพลังงานสะอาด ไฟฟ้าสะอาดและการวางสายเคเบิลเพื่อเชื่อมโยงชุมชน

นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอินเดียกล่าวว่า "วันนี้ ในขณะที่เราเริ่มต้นโครงการริเริ่มด้านการเชื่อมโยงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เรากำลังหว่านเมล็ดพันธุ์สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไปเพื่อฝันให้ใหญ่ขึ้น"

จอน ไฟเนอร์ รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางในภูมิภาค และทำให้มีบทบาทสำคัญสำหรับตะวันออกกลางในด้านการค้าโลก 

โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมโยงประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางด้วยทางรถไฟ และเชื่อมต่อพวกเขากับอินเดียทางท่าเรือ ช่วยในการไหลเวียนของพลังงานและการค้าจากอ่าวไทยไปยังยุโรป โดยการลดระยะเวลาในการขนส่ง ต้นทุน และการใช้เชื้อเพลิง ด้วยการลงลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียงเศรษฐกิจอินเดีย-ตะวันออกกลาง-ยุโรปหรือ IMEC ลงนามโดยสหภาพยุโรป อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร G20 อื่นๆ

MOU ระบุว่าคาดว่า IMEC จะประกอบด้วยเส้นทาง 2 สายที่แยกจากกัน โดยมีเส้นทางตะวันออกที่เชื่อมต่ออินเดียกับอ่าวอาหรับ และทางเดินทางเหนือที่เชื่อมต่ออ่าวอาหรับกับยุโรป 

ตลอดเส้นทางรถไฟ ผู้เข้าร่วมตั้งใจที่จะวางสายเคเบิลสำหรับสายไฟฟ้าและสายข้อมูล ตลอดจนท่อส่งก๊าซไฮโดรเจนที่ได้จากพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสกล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวมอบโอกาสให้กับการผลิต นวัตกรรมและผู้คน “แต่ความตั้งใจของเราคือการทำให้มันเป็นจริง และเพื่อให้แน่ใจว่าหลังจากความมุ่งมั่นนี้ เราจะได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม” เขากล่าวในงานนี้ ไม่มีรายละเอียดมูลค่าของข้อตกลงในทันที

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของสหรัฐฯ ในการทำข้อตกลงทางการทูตที่กว้างขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้ซาอุดีอาระเบียยอมรับอิสราเอล และพยายามสกัดอิทธิพลของจีนในภูมิภาคซึ่งกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ