สหรัฐกำหนดให้โรงไฟฟ้าติดเครื่องดักจับคาร์บอน

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency -EPA) คาดว่าจะเปิดเผยมาตรฐานสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในอาทิตย์นี้ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณการปล่อยก๊าซของสหรัฐฯ โดยกฎหมายใหม่นี้จะแทนที่กฎหมาย American Clean Energy และแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan) ของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งศาลตัดสินให้ทั้งสองกฎนี้เป็นโมฆะ

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอากาศสะอาดและตัวแทนอุตสาหกรรมในการพูดคุยกับ EPA การสร้างมาตรฐานใหม่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพของโรงงานในการลดการปล่อยก๊าซด้วยเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)

บริษัทผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภคอาจต้องตัดสินใจว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าธรรมชาติใหม่ด้วยเทคโนโลยี CCS  หรือใช้พลังงานทดแทนที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิต โดยรัฐแต่ละแห่งจะต้องพัฒนาแผนการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่นี้

Thomas Schuster หัวเรือใหญ่แห่ง Sierra Club องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในเพนซิลเวเนีย ให้ความเห็นว่า “มาตรฐานใหม่นี้สามารถยกระดับการแข่งขันระหว่างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติใหม่ๆและพลังงานหมุนเวียนได้ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่งสร้างใหม่ส่วนใหญ่ไม่ต้องจ่ายค่าปล่อยคาร์บอน ดังนั้น มาตรฐานใหม่นี้อาจทำให้การแข่งขันกับอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนเป็นไปได้ยากขึ้น”

ไบเดน เคยให้คำมั่นไว้ว่าธุรกิจในกลุ่มพลังงานจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ภายในปี 2035  ตามพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยมาตรฐานการตรวจวัดจะต้องอิงตาม “ระบบที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซ” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถือว่ามีราคาไม่แพงและมีความเป็นไปได้

ข้อเสนอนี้จะต้องจะสะท้อนถึงการพัฒนาที่สำคัญ 2 ประการ เพื่อให้มั่นใจว่ากฎระเบียบนี้จะไม่ถูกแก้ไขในอนาคต ประการแรก คือ การตัดสินใจของศาลฎีกาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ห้ามไม่ให้ EPA มีการเปลี่ยนแปลงการผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ แต่อนุญาตให้ออกกฎเฉพาะโรงงานได้

ประการที่สองคือการสร้างกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ที่สร้างเครดิตภาษีเพื่อทำให้การจับกัดคาร์บอนและการผลิตไฮโดรเจนทำได้สะดวกและคุ้มค่าขึ้น และยืนยันอำนาจของ EPA ในการกำหนดกฎระเบียบสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้า โดยกฎหมายดังกล่าวยื่นข้อจูงใจด้านภาษีไฟฟ้าสะอาดมูลค่ากว่า 100 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการเพิ่มเครดิตภาษี 70% สำหรับการจับกัดคาร์บอนแต่ละตัน

ทั้งนี้ EPA สามารถกำหนดมาตรฐานที่แตกต่างกันสำหรับโรงงานแต่ละแห่งได้ โดยใช้มาตรการที่เข้มงวดสำหรับโรงงานที่ทำงานตลอดเวลาและอะลุ้มอล่วยสำหรับโรงงานซึ่งทำงานในช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูง