ยอดผู้เสียชีวิตเหตุเครื่องบินตกในเนปาลเพิ่มเป็น 68 คน

เจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายร้อยคนเดินเท้าเข้าสำรวจเนินเขาซึ่งเที่ยวบินที่บรรทุกผู้โดยสาร 72 คนจากเมืองหลวงกาฐมัณฑุตกเมื่อวันอาทิตย์ ก่อนจะยกเลิกการปฏิบัติการค้นหาในช่วงดึก โดยกล่าวว่าพวกเขาจะกลับมาทำงานอีกครั้งในวันจันทร์

ฐานข้อมูลเครือข่ายความปลอดภัยการบินแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์นี้เป็นเหตุเครื่องบินตกที่ร้ายแรงที่สุดของเนปาลนับตั้งแต่ปี 1992 เมื่อเครื่องบินแอร์บัส A300 ของสายการบินนานาชาติปากีสถานพุ่งชนเนินเขาเมื่อเข้าใกล้กาฐมัณฑุ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 167 คนบนเครื่อง

เจ้าหน้าที่การบินพลเรือนกล่าวในแถลงการณ์ว่า เครื่องบินลำนี้ได้ติดต่อกับสนามบินโปคาร่าจากช่องเขาเซติเวลา 10:50 น. (เวลา 12.05 น.ตามเวลาในประเทศไทย)ในวันอาทิตย์ก่อนจะตกลงบริเวณเนินเขา มีผู้โดยสารอย่างน้อย 68 คนได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิต

รัฐบาลเนปาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และคาดว่าจะได้รับรายงานภายใน 45 วัน

หน่วยงานสืบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของฝรั่งเศส BEA กล่าวว่า จะเข้าร่วมในการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้และประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ที่อยู่บนเครื่องบินแบบสองเครื่องยนต์ ATR 72 ประกอบด้วยทารก 3 คนและเด็ก 3 คน แถลงการณ์ของสำนักงานการบินพลเรือนกล่าว ผู้โดยสารประกอบด้วยชาวอินเดียห้าคน ชาวรัสเซียสี่คน และชาวไอริชหนึ่งคน ชาวเกาหลีใต้สองคน ชาวออสเตรเลียหนึ่งคน ชาวฝรั่งเศสหนึ่งคน และชาวอาร์เจนตินาหนึ่งคน

เว็บไซต์ของ Yeti Airlines ซึ่งระบุว่าเป็นผู้นำของธุรกิจการบินในประเทศ มีเครื่องบินแบบ ด้วย ATR 72-500 หกลำ รวมทั้งลำที่ตกในครั้งนี้ด้วย โดยทางสายการบินได้ยกเลิกเที่ยวบินปกติทั้งหมดในวันจันทร์เพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้ผู้โดยสารที่เสียชีวิต

เครื่องบิน ATR72 เป็นของผู้ผลิตเครื่องบินยุโรป ATR เป็นเครื่องบินเทอร์โบพรอปเครื่องยนต์คู่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งผลิตโดยบริษัทร่วมทุนของแอร์บัส และลีโอนาร์โดของอิตาลี

ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตเกือบ 350 คนตั้งแต่ปี 2000 จากอุบัติเหตุเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ในเนปาล ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุด 8 ใน 14 แห่งของโลก รวมถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เกิดภาวะอันตรายได้

สหภาพยุโรปได้ห้ามสายการบินเนปาลเข้าน่านฟ้าตั้งแต่ปี 2013 โดยอ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัย