วิจัยชี้ใช้ 'ยามาลาเรีย' เสี่ยงตายแถมไม่ได้ช่วยหายจากโควิด
ปธน.ทรัมป์ยืนกรานมาตลอด ให้ใช้ยา'ไฮดรอกซีคลอโรควิน'รักษาคนไข้โควิด-19
วารสารการแพทย์ชื่อดัง Lancet ได้เผยงานวิจัยเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษาตนไข้ติดเชื้อโควิดจำนวน 96,032 รายซึ่งกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 671 แห่งทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการเก็บข้อมูลการรักษาโควิดจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดยผลการศึกษาได้แบ่งคนไข้เป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่รับยาไฮดรอกซีคลอโรควินเพียงชนิดเดียว กลุ่มที่ได้รับยาคลอโรควินเพียงอย่างเดียว ซึ่งยาทั้งสองชนิดนี้นิยมในการใช้รักษาไข้มาลาเรีย กับอีกสองกลุ่มที่เหลือคือกลุ่มที่ได้รับยามาลาเรียร่วมกับยาปฏิชีวนะอื่นๆ จำนวน 14,888 ราย และกลุ่มที่ใช้การรักษาด้วยยาชนิดอื่นโดยไม่เกี่ยวกับตัวยาในข้างต้นอีก 81,144 คน
จากผลการศึกษาพบว่า คนไข้ที่ได้รับยาไฮดรอกซีคลอโรควิน หรือยาในกลุ่มคลอโรควินอื่นๆ มีแนวโน้มเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาชนิดดังกล่าวถึง 18% และ 16% ตามลำดับ ขณะที่อัตราความเสี่ยงเสียชีวิตในผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะคู่กับยากลุ่มคลอโรควินสูงกว่าถึง 22.8% และ 23.8% ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับยาในสองกลุ่มข้างต้นมีอัตราเสียชีวิตที่ 9%
Lancet ชี้ว่า การใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรวินและกลุ่มยาเดียวกันนั้นเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่าปกติ ทั้งยังแทบจะไม่มีผลในการรักษาต่ออาการติดเชื้อโควิด-19 เลย ตรงกันข้ามยังเสี่ยงต่อให้คนไข้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้ทางองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ออกคำเตือนในลักษณะเดียวกันแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เรื่องดังกล่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งมีจุดยืนในการสนับสนุนให้ใช้ยาดังกล่าวในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิดมาโดยตลอด โดยผู้นำสหรัฐอ้างว่าการรับประทานยาไฮดรอกซีคลอโรควินวันละ 1 เม็ดร่วมกับวิตามินสังกะสีอีก1เม็ด ต่อต่อหลายสัปดาห์แล้ว เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาหรือป้องกันติดโควิดได้ เช่นเดียวกับประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิลก็สนับสนุนการใช้ยาดังกล่าวเช่นกัน
NEW Research—No evidence of benefit for #chloroquine and #hydroxychloroquine in #COVID19 patients, urgent randomised trials are needed: finding from a large observational study of nearly 15,000 patients with #COVID19 & 81,000 controls https://t.co/P4YbYVhRDZThread (1/4) pic.twitter.com/dxo120ngy9
— The Lancet (@TheLancet) May 22, 2020


