"ไมเคิล บลูมเบิร์ก" ทุ่มเกือบพันล้านบาท ซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020
ไมเคิล บลูมเบิร์ก ลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 เพราะหวั่นว่า "ปธน.ทรัมป์" จะได้รับเลือกอีกสมัย
ไมเคิล บลูมเบิร์ก ลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 เพราะหวั่นว่า "ปธน.ทรัมป์" จะได้รับเลือกอีกสมัย
เป็นที่ชัดเจนแล้วเมื่อวานนี้ (25 พ.ย.) ว่ามหาเศรษฐีผู้รวยอันดับ 9 ของโลก และเป็นเจ้าพ่อสื่ออย่าง นายไมเคิล บลูมเบิร์ก วัย 77 ปี ได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ลงสมัครในนามพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020
ชื่อของ "ไมค์ บลูมเบิร์ก" เป็นที่สนใจมาโดยตลอด เพราะเคยมีรายงานข่าวมาหลายครั้งว่าเขาอาจตัดสินใจลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็ได้ปฏิเสธข่าวมาโดยตลอด กระทั่งช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามีรายงานข่าวที่ยืนยันว่าบลูมเบิร์กเตรียมลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 2020
"ผมรู้วิธีว่าจะเอาชนะทรัมป์ได้อย่างไร ผมมีวิธีนั้นอยู่แล้ว และผมจะทำมันอีกครั้ง"
"ผมลงสมัครเพื่อเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ และสร้างอเมริกาขึ้นใหม่อีกครั้ง เราไม่สามารถทนกับการกระทำอันไร้จริยธรรมและบ้าบิ่นของประธานาธิบดีทรัมป์ได้อีกต่อไป" หนึ่งในคำแถลงเปิดตัวของบลูมเบิร์ก
ขณะเดียวกันก่อนหน้าการประกาศเปิดตัวไม่กี่วัน มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐ ที่เผยว่า "ไมค์ บลูมเบิร์ก" ได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 936 ล้านบาท ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ
He's done it. @MikeBloomberg has spent the most money of any candidate ever on a single week of political advertising. We're looking at $31M dollars from 11/25-12/3. https://t.co/YiwFaR0udB
— Advertising Analytics (@Ad_Analytics) November 22, 2019
โดยพบว่าเงินส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐฐานเสียงรีพับลิกกัน และถือเป็น "Swing State" ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง อาทิ ฟลอริด้า โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส
แม้ว่าข้อมูลยังคงเป็นตัวเลขแบบคราวๆ แต่ทว่ามูลค่าดังกล่าว นับว่าสูงกว่าคราวที่ทีมหาเสียงของบารัค โอบาม่า เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานยังระบุด้วยว่า ทีมหาเสียงของเขาอาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์
ศึกสองมหาเศรษฐี
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ไมค์ บลูมเบิร์ก ระบุว่า เหตุที่เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น เพราะเขารู้สึกกังวลว่าผู้สมัครของเดโมแครตในปัจจุบัน ยังไม่มีใครที่จะสมน้ำสมเนื้อมากพอจะสามารถมีชัยชนะเหนือประธานาธิบดีทรัมป์ในการเลือกตั้งปีหน้าได้
ผลโพลจาก Morning Consult ได้สำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้จัดทำผลสำรวจระหว่าง ปธน.ทรัมป์ กับ นายบลูมเบิร์ก ผลโพลระบุว่า คะแนนนิยมของบลูมเบิร์กมีมากกว่าทรัมป์ร้อยละ 6 โดยเขาได้คะแนนที่ 43 ส่วนทรัมป์ได้ที่ 37 แต่นั้นเป็นการสำรวจโพลช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่บลูมเบิร์กจะประกาศตัวอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าคะแนนนิยมในตัวบลูมเบิร์กของจะสูงกว่าทรัมป์ แต่หากเทียบกับในบรรดาผู้สมัครเดโมแครตด้วยกันแล้ว บลูมเบิร์กอาจต้องสู้ชิงชัยกับดาวเด่นในเดโมแครตหลายราย โดยเฉพาะนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้ประกาศลงชิงตำแหน่งไปก่อนหน้านี้ และกำลังเป็นดาวเด่นในพรรคเดโมแครต แม้ว่าไบเดนถูกสกัดขาด้วยข่าว "เรื่องอื้อฉาวในยูเครน" จากกรณีการทำธุรกิจของบุตรชายของเขา แต่เดโมแครตก็เดินเกมส์กลับด้วยการใช้กรณีนี้เปิดไต่สวนเพื่อเริ่มกระบวนการถอดถอนทรัมป์ในขณะนี้
สำหรับ ไมเคิล บลูมเบิร์ก จัดว่าเป็นมหาเศรษฐีนักการเมืองท้องถิ่นนิวยอร์กที่ใครๆก็รู้จัก เขาเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ระหว่างปี 2002-2013
ตัวเขาเคยเป็นสมาชิกมาแล้วทั้งรีพับลิกกัน ก่อนจะผันมาเป็นผู้สมัครอิสระ และล่าสุดลงสมัครในนามเดโมแครต
ในปี 2016 เขาประกาศในที่ประชุมพรรคเดโมแครตว่าจะให้การสนับสนุนนางฮิลลารี่ คลินตัน จากนั้นในปี 2018 ได้ลงสมัครเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งให้เงินสนับสนุนพรรคมากถึง 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นได้ช่วยให้เดโมแครตกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งกลางเทอมได้อีกครั้ง
แม้ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อผู้รวยที่สุดอันดับ 9 ของโลก แต่ไมค์ บลูมเบิร์ก จัดว่าเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีใจบุญที่บริจาคเงินก้อนใหญ่ให้องค์กรการกุศลมากมาย ประเมินว่าเขาบริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆไปแล้วถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นมากกว่าทรัพย์สินของประธานาธิบดีทรัมป์ สมัยที่ยังเป็นนักธุรกิจอสังหาฯเสียอีก
อย่างไรก็ ขณะนี้ยังยากจะคาดเดาว่า ไมค์ บลูมเบิร์ก จะเป็น "ม้ามืด" ที่สามารถโค่นทรัมป์ได้หรือไม่ เพราะเขาเพิ่งประกาศแคมเปญหาเสียงเพียงไม่กี่วัน รวมถึงเขายังต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนภายในเดโมแครตด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งนี้คือ กลยุทธ์ใช้เงินหาเสียงของบลูมเบิร์กนั้นจะสามารถซื้อใจชาวอเมริกันได้มากน้อยเพียงใด