ย้อนอดีตนอเทรอดาม เฉียดพินาศหลายครั้ง
ก่อนที่จะถูกเผาผลาญจากอัคคีภัย อาสนวิหารแห่งนี้เคยผ่านวิกฤตการณ์และการทำลายล้างมาหลายครั้ง
ก่อนที่จะถูกเผาผลาญจากอัคคีภัย อาสนวิหารแห่งนี้เคยผ่านวิกฤตการณ์และการทำลายล้างมาหลายครั้ง
อาสนวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1160 โดยบิชอป โมอริซ เดอ ซุลยี แล้วเสร็จปี 1260 และได้รับการแก้ไขบ่อยครั้งในศตวรรษต่อๆ มา สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดพิธีทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่หลายครั้ง รวมถึงงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส
ในช่วงทศวรรษที่ 1790 อาสนวิหารถูกทำลายในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส โดยเฉพาะรูปเคารพทางศาสนาส่วนใหญ่เสียหายหรือถูกทำลาย แต่หลังจากนั้นได้มีการรื้อฟื้นความสำคัญ โดยในปี 1804 เป็นที่จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของนโปเลียนที่ 1 และใช้เป็นที่จัดงานศพของประธานาธิบดีฝรั่งเศสหลายท่าน ยุคสาธารณรัฐที่สาม ระหว่างปี 1870–1940
อาสวิหารแห่งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของปารีสแห่งฝรั่งเศส ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายครั้ง บางครั้งเกือบจะถูกคทำลายลงให้สิ้นซากเพราะถือเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ก็รอดมาได้ สุดท้ายมาถูกเพลิงไหม้ในวันที่ 15 เมษายน 2019
ค.ศ. 1160
เดิมที่นี่มีหอล้างบาป สร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 452 และปรับสภาพเป็นโบสถ์พร้อมกับขยับขยายเรื่อยมา จนกระทั่งบิชอปแห่งปารีส มีดำริให้สร้างอาสนวิหารที่ใหม่ขึ้น จึงสั่งให้ทำลายโบสถ์ยุคโรมาเนสก์ และนำวัสดุมาสร้างศาสนสถานแห่งใหม่ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เริ่มแพร่หลายในฝรั่งเศส
ค.ศ. 1163
วางศิลาฤกษ์และเริ่มก่อสร้างนอเทรอดาม เดอ ปารีส์ (Notre-Dame de Paris) หรืออาสนวิหารนอเทรอดามแห่งปารีส (นอเทรอดาม แปลว่าพระแม่มารีย์)
ค.ศ. 1345
อาสนวิหารสร้างแล้วเสร็จ มีความยาว 128 เมตร กว้าง 48 เมตร หอระฆังคู่ที่ด้านหน้าสูง 69 เมตร รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบกอทิกฝรั่งเศส (French Gothic architecture) ในยุคต้น เอกลักษณ์สำคัญคือ ถาปนิกสร้างผนังให้สูงขึ้นโดยการแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น ส่วนการรับน้ำหนักของผนังและกำแพงก็ใช้การคค้ำยันแบบใหม่ที่เรียกว่าครีบยันแบบปีกนก หรือ flying buttress ตั้งอยู่ด้านข้างของอาคาร อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของอานสวิหารแห่งนี้
ค.ศ. 1548
ฝรั่งเศสเกิดความแตกแยกทางศาสนาระหว่างกลุ่มนิกายคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนต์ โดยกลุ่มอูว์เกอโน (Huguenots) ซึ่งเป็นชาวคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์ ได้บุกเข้ามาทำลายประติมากรรมที่อาสนวิหาร เพราะถือว่าเป็นการบูชารูปเคารพ ขัดต่อหลักการตีความพระคัมภีร์ของนิกายโปรเตสแตนต์
ค.ศ. 1786
ทำลายรูปบูชาขนาดยักษ์ของนักบุญคริสโตเฟอร์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1413 ตั้งอยู่ข้างเสาตรงทางเข้าทิศตะวันตก
ค.ศ. 1793
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการต่อต้านศาสนจักร ฝูงชนบุกเข้ามาทำลายอาสนวิหาร เช่นตัดเศียรรูปสลักของกษัตริย์ชาวอิสราเอลโบราณในพระคัมภีร์ไบเบิล เพราะเข้าใจว่าเป็นเศียรกษัตริย์ฝรั่งเศส มีการเปลี่ยนอาสนวิหารเป็นโกดัง และใช้เป็นที่เฉลิมฉลองเทพีแห่งเสรีภาพและลัทธิบูชาเหตุผล
ค.ศ. 1801
นโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ก้าวขึ้นมามีอิทธิพลโดยควบคุมความสงบของประเทศหลังการปฏิวัติเอาไว้ได้ ยินยอมให้มีการบูรณะอาสนวิหาร ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของสถานที่แห่งนี้ หลังผ่านเรื่องเลวร้ายยุคปฏิวัติ
ค.ศ. 1804
นโปเลียน โบนาปาร์ต ปราบดาภิเษกเป็นจักรรรดิแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสที่อาสนวิหารแห่งนี้ และทรงเข้าพิธีเสกสมรสกับอาร์ชดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ในปี 1810
ค.ศ. 1831
วิกตอร์ อูโก (Victor Hugo) นักประพันธ์ และรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศส เขียนเรื่อง "คนค่อมแห่งนอเทรอดาม" (The Hunchback of Notre Dame) โดยใช้อาสนวิหารเป็นฉากสำคัญ และทำให้คนทั่วโลกรู้จักสถานที่แห่งนี้มากขึ้น
ค.ศ. 1871
ขบวนการคอมมูนแห่งปารีส กลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรง ปิดล้อมเมืองหลวงและปลุกระดมให้เผาอาสนวิหารทิ้ง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่โดยศาสนจักร และโจมตีว่าคริสตจักรคาทอลิกสมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรมของสถาบันกษัตริย์ แต่การทำลายล้างไม่สำเร็จ
ค.ศ. 1844
พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งฝรั่งเศส (ยกเว้นจักรพรรดินโปเลียนที่ 3) ทรงสั่งให้บูรณะอาสนวิหารครั้งใหญ่ กินเวลา 25 ปี
ค.ศ. 1944
กรุงปารีสที่ตกอยู่ใต้การยึดครองของนาซี ได้รับการปลดปล่อยจากกองทัพสัมพันธมิตร อาสนวิหารได้รับความเสียหายเล็กน้อยที่กระจกสีสมัยกลาง
ค.ศ. 1963
ฉลอง 800 ปี มีการทำความสะอาดหน้าบันที่ขมุกขมัว จนเป็นสีขาวสะอาดตาเหมือนเดิม
15 เมษายน 2019
เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เครื่องบน หรือส่วนหลังคาที่เป็นไม้ สร้างความเสียหายอย่างหนักต่ออาสนวิหาร


