posttoday

ระบบไร้นักบิน ความท้าทายด้านความปลอดภัย

31 พฤษภาคม 2558

“เพื่อยกระดับมาตรฐานการปลอดภัยด้านการบิน บางทีเราน่าจะจำเป็นต้องเอานักบินออกไป”

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

“เพื่อยกระดับมาตรฐานการปลอดภัยด้านการบิน บางทีเราน่าจะจำเป็นต้องเอานักบินออกไป”

เมื่อได้อ่านแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญด้านการบินข้างต้น หลายคนอาจคงอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ เพราะเครื่องบินที่ไม่มีนักบินคอยควบคุมสั่งการ โดยเฉพาะตัดสินใจในยามคับขันจะเรียกว่าปลอดภัยได้อย่างไร

กระนั้น จากเหตุโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญของเครื่องบินสายการบินเยอรมันวิงส์ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แนวคิด “เครื่องบินไร้นักบิน” เริ่มกลายเป็นประเด็นที่ได้รับการหยิบยกให้มีการหารือถกเถียงถึงความเป็นไปได้ขึ้นอีกครั้ง

แม้ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนเสนอว่า การนั่งเครื่องบินไร้คนขับออกจะเป็นไอเดียที่สุดโต่งเกินไป เนื่องจากน่าจะมีผลทางจิตวิทยาต่อผู้โดยสาร ขณะที่ แพทริก สมิธ นักบินสายการบินพาณิชย์ผู้มี
ชั่วโมงบินมามากกว่า 25 ปี ก็แย้งว่าจะเชื่อมั่นวางใจเต็มร้อยได้อย่างไรว่าเทคโนโลยีที่คิดค้นปราศจากปัญหา

แถมสถิติของการเกิดอุบัติเหตุของสายการบินที่เกิดขึ้นจากตัวนักบิน เมื่อเทียบกับจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3,000 ล้านคน/ปี หรือราว 34 ล้านเที่ยวบิน/ปี ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก คือน้อยกว่า 10 ในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยยังไม่รวมกรณีที่ผู้ก่อการร้ายลักลอบเจาะระบบเครื่องบิน เพื่อขัดขวางการสื่อสารและจี้เครื่องบินโดยที่ไม่ต้องส่งคนขึ้นเครื่อง

กระนั้น เสียงคัดค้านด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิคและทางจิตวิทยาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแนวคิดไร้นักบินแต่อย่างใด และที่สำคัญ ความเป็นไปได้ของแนวคิดดังกล่าวก็อยู่ไม่ไกลจากความเป็นจริงเข้าไปทุกขณะ

ย้อนไปในอดีต หากเอ่ยถึงการขนส่งสิ่งของหรือคนจำนวนมากขึ้นสู่ที่สูงด้วยจักรกลที่เรียกว่า “ลิฟต์” ย่อมเป็นสิ่งที่ใครหลายคนจินตนาการไม่ออก ทว่าทุกวันนี้ลิฟต์คือเครื่องจักรสามัญที่คนทั่วโลกคุ้น ดังนั้นไอเดียไร้นักบินเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่นเดียวกัน รถยนต์ไร้คนขับที่ขณะนี้สามารถเบรกได้เองหากรถยนต์มีแนวโน้มจะเผชิญอันตราย จึงเป็นเรื่องที่ทำได้และสมควรเกิดขึ้น

“เหตุผลจริงๆ ที่คนคนหนึ่งต้องการให้มีมนุษย์อยู่ในห้องนักบิน เพราะพวกเขาอยากที่จะเชื่อว่ามีใครบางคนกำลังอยู่ข้างหน้านั้นและร่วมชะตากรรมเดียวกัน ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เขา (นักบิน) จะทำทุกหนทางเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา” แมรี คัมมิงส์ อดีตนักบินเครื่องบินรบแห่งกองทัพเรือสหรัฐ และศาสตราจารย์ด้านอากาศยานไร้คนขับแห่งมหาวิทยาลัยดุค กล่าว

คัมมิงส์ อธิบายว่า เครื่องบินแตกต่างจากยวดยานพาหนะอื่นๆ ตรงที่ขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่ที่ไร้ขอบเขตจำกัดเหมือนรถที่มีถนนวิ่ง และรถไฟที่ต้องอยู่บนราง นอกจากนี้การบินบนฟ้ายังเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นผู้โดยสารจึงรู้สึกดี เบาใจ หรือปลอดภัยมากกว่า ที่ในทุกครั้งที่เครื่องกำลังบินและแล่นขึ้น-ลง จะได้ยินเสียงกัปตันหรือนักบินบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว   ด้วยเหตุผลทางด้านจิตวิทยาที่ยากจะต่อกรได้ ส่งผลให้คัมมิงส์และผู้เชี่ยวชาญด้านการบินอื่นๆ เสนอทางออกให้สายการบินเชิงพาณิชย์ทั่วโลกหันมานำร่องประยุกต์ใช้ระบบไร้คนขับสำหรับการบินเพื่อขนส่งสินค้า (เครื่องบินคาร์โก) โดยเริ่มต้นจากลดนักบินจาก 2 คน เป็นหนึ่งคน ควบด้วยทีมนักบินที่จะคอยสนับสนุนจากภาคพื้นดิน ก่อนที่จะย้ายนักบินลงจากเครื่องมาอยู่บนพื้นดินทั้งหมด

ระบบไร้นักบิน ความท้าทายด้านความปลอดภัย

 

วิธีข้างต้นจะช่วยให้สายการบินทั้งหลายประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมนักบิน ค่าใช้จ่ายสำหรับนักบินวัยเกษียณ ค่าโรงแรมและค่าเดินทาง นอกจากนี้นักบินที่ทำงานภาคพื้นดินสามารถส่งการบังคับเครื่องบินไปให้เพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งทำให้นักบินมีชั่วโมงการทำงานเหมือนคนทั่วไปซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8 ชั่วโมง

“ในความเห็นของฉัน มันเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย และแข็งแกร่งในเชิงเศรษฐกิจด้วย” คัมมิงส์ กล่าวก่อนคาดการณ์ว่าระบบไร้นักบินน่าจะมีขึ้นใน 10-15 ปีหน้า

ทั้งนี้ ระบบการบินในอดีตทำให้มีความจำเป็นต้องใช้นักบิน เพราะต้องคอยดึงสายเคเบิลเพื่อไต่ระดับ ควบคุมหางเครื่องและเหยียบเบรก แต่ทุกวันนี้ระบบเครื่องบินกลายเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น นักบินสามารถสั่งการด้วยคอมพิวเตอร์ ที่จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปด้านหลังและระบบควบคุมต่างๆ ทั่วตัวเครื่องแทน ซึ่งรวมถึงระบบขึ้น-ลง 

หรือถ้านักบินต้องการเปลี่ยนเส้นทางการบินก็สามารถทำได้ เพียงพิมพ์คำสั่งเส้นทางบินใหม่ป้อนคอมพิวเตอร์ ระบบก็จะดำเนินการให้โดยอัตโนมัติ โดยที่นักบินไม่จำเป็นต้องบังคับด้วยตนเอง

ยิ่งไปกว่านั้น แอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสยังมีการประดิษฐ์คิดค้นห้องนักบินไร้หน้าต่าง ซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างทดลองโดยทดแทนหน้าต่างด้วยจอและกล้อง ที่จะทำให้นักบินมีมุมมองที่กว้างและละเอียดมากขึ้น

ทอดด์ ฮัมฟรีย์ ศาสตราจารย์ด้านวิศวการบินแห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ในสหรัฐ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งจากขั้นตอนของแอร์บัส คือแทนที่นักบินจะมองจอจากห้องนักบินบนฟ้า ก็หันมามองจอจากห้องควบคุมบนภาคพื้นดินแทน

“ทุกปุ่มที่คุณสามารถควบคุมโดยไม่ต้องลุกออกจากที่นั่งบนฟ้า สามารถทำได้ดีเยี่ยมเท่าเทียมกัน หรืออาจจะดีกว่าบนภาคพื้นดิน” ฮัมฟรีย์แสดงความเห็น ก่อนเสริมว่า ข้อดีอีกอย่างที่นักบินจะทำงานจากภาคพื้นก็คือ ไม่ต้องปวดหัวกับการปรับเวลา (ไทม์โซน) ที่แตกต่างกันทั่วโลก เลี่ยงการเผชิญกับเจ็ตแล็ก หรืออาการขาดน้ำหากต้องบินระยะทางไกล

สืบเนื่องจากการที่สายการบินทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาใดๆ ดังนั้นนักบินจะเผชิญหน้ากับความท้าทายสุดๆ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาวะฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสามารถแทนที่ได้ด้วยทีมงานและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการคอยดูแลแก้ไขจากห้องนักบินระยะไกล ที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของนักบินได้ทันเวลา

กระนั้น ดูเหมือนว่าระบบไร้นักบินนี้ย่อมได้รับเสียงคัดค้านจากเหล่านักบินทั้งหลาย เนื่องจากยังมีอีกหลายสถานการณ์ที่ต้องการการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีของตัวนักบินเอง ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ กัปตันเชสลีย์ ซัลเลนเบอร์เกอร์ หรือกัปตันซัลลีแห่งสายการบินยูเอส แอร์เวย์ส เที่ยวบิน 1549 ที่สามารถแล่นจอดได้อย่างปลอดภัยหลังเครื่องยนต์สองข้างดับสนิทเพราะนกบินชน

ทั้งนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว อำนาจการตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ตัวผู้โดยสารและนักเดินทางทั่วโลกเองว่าจะเลือกระบบแบบไหน ระหว่างการวางใจฝากชีวิตในตัวนักบินที่ไม่รู้ว่ามีปมในจิตใจลึกซึ้งซับซ้อนแค่ไหน กับการเชื่อมั่นกับระบบจักรกลเทคโนโลยีที่ไม่ต้องมีคนขับอีกต่อไป

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี