posttoday

เยอรมัน กับแชมป์โลกสมัยที่ 4 อันสง่างามและสมศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง

14 กรกฎาคม 2557

โดย สุรเดช สันติเลิศประภพ

โดย สุรเดช สันติเลิศประภพ

เยอรมัน กับแชมป์โลกสมัยที่ 4 อันสง่างามและสมศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง

ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วสำหรับฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล และอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ถือว่าสอบผ่านทั้งในแง่ของความสนุกสนาน และ การจัดการแข่งขัน สมดังที่เจ้าภาพต้องการทุกประการ โดยทีมที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกในหนนี้ไปครองก็คือ “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน ที่สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครองได้สำเร็จ
 ยุติช่วงเวลาแห่งการรอคอยกว่า 24 ปีลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลังจากต่อสู้กันมาหนึ่งเดือนเศษๆ ในที่สุดฟุตบอลโลก 2014 ก็ปิดฉากลงเรียบร้อยแล้วเมื่อกลางดึกคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยการที่ เยอรมัน เอาชนะ อาร์เจนติน่า ไปได้ 1-0 จากประตูชัยของตัวสำรองอย่าง มาริโอ เกิทเซ่ ในนาทีที่ 113 และทำให้ทีม “อินทรีเหล็ก” ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครองได้สำเร็จ เทียบเท่ากับที่ อิตาลี ทำได้ในปี 2006 และตามหลัง บราซิล
 อยู่เพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้น

ฟุตบอลโลกหนนี้ถูกจับตามองอย่างมากว่าจะประสบความสำเร็จเพียงใด และจะไปรอดตลอดฝั่งหรือไม่หลังจากที่มีการประท้วงจากผู้คนในประเทศบราซิลเองตั้งแต่ในศึกฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ เมื่อปีก่อน ต่อเนื่องมาจนถึงก่อนหน้าฟุตบอลโลกจะเริ่มต้นเมื่อผู้คนชาวบราซิเลี่ยน
 ไม่พอใจกับการที่รัฐบาลของพวกเขาใช้งบประมาณบานปลายไปกว่าที่ตั้งไว้ในตอนแรกมหาศาลเพื่อการจัดมหกรรมกีฬาหนนี้ขึ้นมา

สุดท้ายด้วยการเตรียมพร้อมในแง่ต่างๆทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัว หรือ เหตุการณ์ความวุ่นวายที่จะทำให้บรรยากาศของฟุตบอลโลกหนนี้ต้องเสียไปเกิดขึ้นในแง่ของภาพรวม แต่การประท้วงก็ยังคงมีอยู่เนืองๆให้เห็นแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการจัดการแข่งขัน

การตกรอบแรกของบรรดาทีมดังๆและเคยเป็นอดีตแชมป์โลกอย่าง สเปน ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่า, อิตาลี แชมป์ 4 สมัย และ อังกฤษ ชาติยักษ์ใหญ่ของวงการ สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนบอลทั่วโลกไม่น้อย ขณะเดียวกันทีมที่ไม่ค่อยถูกจับตามองมากนักก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้นอย่าง ชิลี, โคลัมเบีย รวมถึง คอสตาริก้า
 ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากกับผลงานของพวกเขาที่สามารถทะลุเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ได้สำเร็จ

นอกเหนือจากความสูสีและช่องว่างระหว่างทีมใหญ่ กับทีมเล็ก ที่ถูกบีบให้แคบลงมาแล้ว ฟุตบอลโลกหนนี้ยังเกือบจะทำลายสถิติการทำประตูสูงสุดลงได้ด้วย เมื่อมีการทำไปถึง 171 ประตูจากจำนวน 64 เกม โดยเป็นตัวเลขที่เท่ากับฟุตบอลโลกเมื่อปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพพอดี

เยอรมัน แชมป์ในปีนี้สมควรจะต้องปรบมือให้กับพวกเขาจริงๆกับผลงานตลอด 7 เกมที่แสดงออกมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มเรื่อยมาจนถึงรอบน็อกเอ้าต์ ลูกทีมของ โยอัคคิม เลิฟ ดูจะมีสภาพความพร้อมทั้งแท็คติก, ร่างกา ย และ จิตใจ ที่ดูลงตัวมากกว่าทุกทีม

ผลงานการถล่มเจ้าภาพอย่าง บราซิล ลงได้ถึง 7-1 ตามด้วยการปราบอีกหนึ่งยอดทีมจากอเมริกาใต้อย่าง อาร์เจนติน่า ในนัดชิงชนะเลิศทำให้การรอคอยแชมป์โลกกว่า 24 ปีของทีม “อินทรีเหล็ก” ปิดฉากอย่างแฮ็ปปี้เอนดิ้ง

เครดิตแห่งความสำเร็จกับการคว้าแชมป์หนนี้คงต้องแบ่งให้กับทั้งกลุ่มผู้เล่น, กลุ่มสตาฟฟ์โดยเฉพาะ โยอัคคิม เลิฟ ที่พิสูจน์ตัวเองว่าการตัดสินใจของ เดเอฟเบ ที่ให้โอกาสเขาคุมทีมต่อเนื่องมาหลังจาก คลิ้นส์มันน์ วางมือจากทัวร์นาเมนต์เมื่อปี 2006 คือการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ

สิ่งที่ เลิฟ เข้ามาปรับปรุงและปรับเปลี่ยน เยอรมัน จากทีมที่เล่นฟุตบอลแบบเน้นความแข็งแกร่งเป็นหลัก เขายังคงยึดมั่นในปรัชญานี้แต่ เลิฟ ได้สอดแทรกและปรับจูนให้ เยอรมัน กลายเป็นทีมที่เล่นเกมรุก และ รับ ได้อย่างลงตัว ดูจากค่าเฉลี่ยอายุของทีมชุดนี้คงต้องบอกว่าพวกเขายังคงมีโอกาสที่ดีที่จะลุ้นป้องกันแชมป์ได้อีกในปี 4 ข้างหน้าที่ รัสเซีย
 จะเป็นเจ้าภาพในปี 2018 แต่ก่อนจะไปถึงทัวร์นาเมนต์นั้น เยอรมัน คงมีภารกิจที่จะต้องไล่ล่าแชมป์ยูโร 2016 ที่พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ทัวร์นาเมนต์นี้มาแล้วเป็นสถิติสูงสุดร่วม 3 ครั้งเท่ากับ สเปน

ฟุตบอลโลก 2014 ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และคงจะต้องตั้งหน้าตั้งตารอกันอีก 4 ปีกว่าที่สุดยอดทัวร์นาเมนต์นี้จะกลับมาสร้างความสนุกให้กับแฟนบอลทั่วโลกอีกครั้ง และก่อนจะจากกันไปคงต้องขอบพระคุณทางเว็บไซด์ของ โพสต์ทูเดย์ ที่ให้โอกาสกับตัวผมและน้องๆได้มีโอกาสมาร่วมกันอัพเดตเรื่องราวต่างๆ และ ร่วมลุ้นฟุตบอลโลกหนนี้ไปพร้อมๆกับทุกคน

ขอให้เก็บความรู้สึกและความประทับใจดีๆจากฟุตบอลโลกครั้งนี้เอาไว้ในความทรงจำ และ กลับมาพบกันใหม่ในโอกาสหน้า หวังว่าจะไม่นานเกินรอครับ

สุรเดช สันติเลิศประภพ

ข่าวล่าสุด

จับตาประชุมอาเซียน ชี้ชะตาสงครามไทย–กัมพูชา จบหรือยืดเยื้อ