อดีตลูกเขย"ซูฮาร์โต"มาแรงส่งสัญญาณคืนอำนาจเก่า
จับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย "ปราโบโว ซูเบียนโต" อดีตลูกเขยของอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต กำลังมีคะแนนนิยมมาแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
จับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งจะเปิดคูหากันขึ้นในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ปรากฏว่า ปราโบโว ซูเบียนโต อดีตลูกเขยของอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต กำลังมีคะแนนนิยมมาแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นการส่งสัญญาณที่อินโดนีเซียอาจจะกลับคืนสู่ยุคเก่าดั่งในสมัยอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต
ซูเบียนโต เป็นหนึ่งในนายพลที่หนุ่มที่สุดในช่วงที่อดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต เรืองอำนาจ ก่อนที่จะหลุดจากตำแหน่งในกองทัพไปเมื่อปี 1998 เมื่อซูฮาร์โตถูกประชาชนล้มคว่ำอำนาจและจากคดีการลักพาตัว และพัวพันกับคดีการทรมานกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายราย
ล่าสุดนั้นคะแนนนิยมของซูเบียนโตในฐานะผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคเกรินทรา กำลังมีคะแนนตีตื้นคู่แข่งสายเสรีประชาธิปไตยอย่าง โจโก วิโดโด ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เอ็ดเวิร์ด แอสปินัลล์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (เอเอ็นยู) ให้ความเห็นว่าซูเบียนโตนั้นถือว่าเป็นตัวแทนของระบบเผด็จการของอินโดนีเซียยุคเก่าอย่างเห็นได้ชัด
“เขาปรากฎขึ้นมาจากใจกลางของระบบเผด็จการนิยมเก่าทีเดียว”แอสปินัลล์ กล่าว
ทั้งนี้ ซูเบียนโต ในวัย 62 ปี ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาถึงการฟื้นระบอบประชาธิปไตยและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับความเป็นประธานาธิบดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวทางการหาเสียงดังกล่าวดึงดูดความสนใจของชาวอินโดนีเซียไม่น้อย หลังจากที่ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้น อินโดนีเซียต้องเผชิญหน้ากับปัญหาซบเซาและปัญหาคอร์รัปชั่นที่เน่าเฟะและรุนแรงมาโดยตลอด
รอย มอร์แกน นักจัดทำโพลให้ความเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สูสีอย่างที่สุด โดยจากผลการสำรวจล่าสุดนั้นพบว่าวิโดโด หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โจโกวี” นั้นแม้ว่าจะมีคะแนนนำอยู่ แต่ช่องว่างก็ลดลงมาเรื่อยๆ จากเดิมที่ 18 ในเดือน พ.ค. ได้ปรับลดลงมานำอยู่เพียง 4 คะแนนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มประชาชนอายุระหว่าง 17-30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธิออกเสียงในช่วงหลังจากสิ้นสุดยุคของอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต นั้น ก็ปรากฏว่าซูเบียนโตกลับมีคะแนนนิยมนำเสียด้วย
นักวิเคราะห์ยังมองด้วยว่า ซูเบียนโตกำลังส่งสัญญาณไปยังชาวอินโดนีเซียว่า เจ้าตัวจะเป็นผู้ที่ก้าวเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ให้สำเร็จลุล่วงไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ หรือคอร์รัปชั่น โดยอาศัยความได้เปรียบคู่แข่งจากการมทุนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งก็คือมหาเศรษฐี ฮาชิม โดโจฮาดิกุสุโม ผู้เป็นพี่ชายนั่นเอง ซึ่งฟอร์บส์รายงานว่าฮาชิมมีทรัพย์สินมากถึง 700 ล้านเหรียญ (ราว 2.24 หมื่นล้านบาท) ขณะที่ตัวซูเบียนโตเองมีทรัพย์สินราว 150 ล้านเหรียญ (ราว 4,800 ล้านบาท) มากกว่าทรัพย์สินของคู่แข่งถึง 60 เท่า
“เขามีคนหนุนหลังที่ทรงพลังและเขากำลังส่งข้อความอันทรงพลังไปยังชาวอินโดนีเซีย เขาจะยืนหยัดต่อหน้าทุกคนและยื่นมือไปหาชาวอินโดนีเซียได้ทุกคน” ทิม คอนดอน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของไอเอ็นจีประจำภูมิภาคเอเชียที่สิงคโปร์กล่าว
บรรยายภาพประกอบ : ปราโบโว ซูเบียนโต อดีตลูกเขยของอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต


